Where are you, my baby? - Stony
โทนี่คิดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีทางหารักแท้พบ เอาเวลาไปสร้างหุ่นยนต์ดีกว่า แต่เดี๋ยวก่อนอยู่ดีๆสวรรค์ก็เล่นส่งหนุ่มหล่อ ตัวสูง ผมทอง ตาฟ้า ยิ้มสวย หุ่นล่ำ (Stony)
ผู้เข้าชมรวม
2,019
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
Pairing: Tony/Steve
Summary: หลังจากโดนสาวทิ้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
โทนี่ก็คิดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีทางหารักแท้พบ เอาเวลาไปสร้างหุ่นยนต์ดีกว่า
แต่เดี๋ยวก่อน...อยู่ดีๆสวรรค์ก็เล่นส่งหนุ่มหล่อ ตัวสูง ผมทอง ตาฟ้า ยิ้มสวย หุ่นล่ำ
แถมยังอัดพวกที่คิดจะปล้นเขาได้ในสองหมัด
โทนี่คิดว่าเขาตกหลุมรักอีกครั้งแล้วหล่ะ...ปัญหาก็คือเขาไม่รู้ชื่อหนุ่มที่ว่า
แถมพอพยายามจะหาแทนที่จะเจอหนุ่มหล่อล่ำกลับเจอเจ้าจิ๋วผมทองปากดีแทน
โอ๊ยแล้วไปๆมาๆทำไมเขาถึงได้รู้สึกหวงก้างเจ้าจิ๋วนี้ไปได้นะ เขากำลังอยู่ในภารกิจตามหาหนุ่มหล่อล่ำนะ!
Rating and Warning: PG – ไม่มีทริกเกอร์ใดๆทั้งสิ้น ฟิคนี้กิจกรรมที่ดูสุ่มเสี่ยงที่สุดแล้วก็คือจูบ
Note: เป็นฟิคที่เขียนเพื่อร่วมกิจกรรม #Heroอาทิตย์ละครั้ง ของ @_heroweeklyth week 24: Random
Song ซึ่งเราได้ Call Me Maybe ฟิคเรื่องนี้เขียนตามเนื้อเพลงเลยค่ะ จริงๆนะคะ
แค่สลับเพลงไปมาเท่านั้นเอง ส่งช้าไปประมาณสองปีเศษ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Title: Where are you, my
baby?
Pairing: Tony/Steve
Summary: หลังจากโดนสาวทิ้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
โทนี่ก็คิดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีทางหารักแท้พบ เอาเวลาไปสร้างหุ่นยนต์ดีกว่า
แต่เดี๋ยวก่อน...อยู่ดีๆสวรรค์ก็เล่นส่งหนุ่มหล่อ ตัวสูง ผมทอง ตาฟ้า ยิ้มสวย หุ่นล่ำ
แถมยังอัดพวกที่คิดจะปล้นเขาได้ในสองหมัด
โทนี่คิดว่าเขาตกหลุมรักอีกครั้งแล้วหล่ะ...ปัญหาก็คือเขาไม่รู้ชื่อหนุ่มที่ว่า
แถมพอพยายามจะหาแทนที่จะเจอหนุ่มหล่อล่ำกลับเจอเจ้าจิ๋วผมทองปากดีแทน
โอ๊ยแล้วไปๆมาๆทำไมเขาถึงได้รู้สึกหวงก้างเจ้าจิ๋วนี้ไปได้นะ เขากำลังอยู่ในภารกิจตามหาหนุ่มหล่อล่ำนะ!
Rating and Warning: PG – ไม่มีทริกเกอร์ใดๆทั้งสิ้น ฟิคนี้กิจกรรมที่ดูสุ่มเสี่ยงที่สุดแล้วก็คือจูบ
Note: เป็นฟิคที่เขียนเพื่อร่วมกิจกรรม #Heroอาทิตย์ละครั้ง ของ @_heroweeklyth week 24: Random
Song ซึ่งเราได้ Call Me Maybe ฟิคเรื่องนี้เขียนตามเนื้อเพลงเลยค่ะ จริงๆนะคะ
แค่สลับเพลงไปมาเท่านั้นเอง ส่งช้าไปประมาณสองปีเศษ
I threw a wish in the well
คืนนี้มันห่วยแตกสุดๆ โทนี่
สตาร์คคิดพร้อมกับปัดผมที่ชุ่มไวน์ออกจากหน้า
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมลิสสาจะถึงขนาดเอาไวน์สาดหน้าเขาแถมนั่นยังเป็นเซเวอยอง
บลองค์ปีแปดแปด หรือเขาควรจะดีใจดีที่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นไวน์ขาว
โทนี่คิดอย่างเซ็งๆ นี่ผู้หญิงคนที่เจ็ดของปีแล้วที่ทิ้งเขาอย่างไม่ใยดี แล้วเฮ้
ถึงจะมีข่าวพูดกันให้แซ่ดไปทั้งแคมปัสของเอ็มไอทีว่าโทนี่ สตาร์คเป็นเพลย์บอย
เด็กรวย เด็กสปอยล์ ควงสาวไม่เลือกหน้าหรือว่าอะไรก็เถอะ
แต่นั่นเป็นข่าวลือทั้งนั้น ให้ตายเถอะ เขาน่ะคบทีละคนตลอดนะ
แต่เขาก็แค่เป็นคนที่เรียกว่าเป็นมิตรกับชาวบ้านไปสักหน่อยเวลาเข้าสังคม
แต่สาบานได้เลยว่าเขาไม่เค้ย ไม่เคยคบซ้อนซ่อนเงื่อน นอกใจ ตลบตะแลงอะไรทั้งนั้น
แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อสักคนเลยน่ะสิ
ชายหนุ่มคิดอย่างเซ็งๆ มือกระชับเสื้อโค้ทเข้ากับตัว
ลมหนาวกับผมเปียกๆแบบนี้ไปด้วยกันไม่ได้เลยสักนิด
เขาน่าจะรอให้ผมแห้งสักนิดก่อนออกจากร้านนั่น บ้าชะมัดทำไมถึงได้คิดช้าแบบนี้นะ โทนี่ดุตัวเอง
ดวงตาคู่สวยมองไปรอบๆ เขาเล่นเดินออกจากเขตร้านอาหารแล้ว
อีกสามสี่บล็อกนู้นกว่าจะถึงสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด ลมหนาวพัดมาอีกวูบ
เย็นยะเยือกจนแก้มเขาเริ่มชา เยี่ยม...เป็นหวัดใกล้สอบแบบนี้ ดวงเขาคงดีแบบสุดๆ
ชายหนุ่มคิดประชดกับตัวเอง ก่อนที่สายตาจะหยุดที่ตึกเตี้ยๆข้างหน้า
...โบสถ์...คิดแล้วโทนี่ก็รีบสาวเท้าเร็วๆ ก่อนจะผลักประตูไม้หนักเข้าไปในอาคารอุ่นๆ
โถงกว้างที่เขายืนอยู่ว่างเปล่า แน่ล่ะใครจะมาเข้าโบสถ์ในเวลาเย็นย่ำขนาดนี้
โทนี่ถูมือเข้าด้วยกันให้ความอบอุ่นกับร่างกายก่อนจะลากนิ้วผ่านผมที่จนถึงป่านนี้ยังเปียกหมาดๆ
แถมยังเย็นจัดอีกด้วย ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้แท่นบูชาที่จุดเทียนเอาไว้
อากาศค่อยๆอุ่นขึ้นเรื่อยๆอยู่ที่นี่สักพักจนเขาตัวเริ่มแห้งดีกว่า โทนี่คิดกับตัวเองก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้แถวหน้าสุด
แล้วเงยหน้าขึ้นมองแท่นบูชา ภาพที่คนอย่างเขาไม่คุ้นเคยสักนิด
ในชีวิตเขาเข้าโบสถ์น่าจะนับครั้งได้ แม่ของเขาเป็นไอริชและแคธอลิคก็จริง
แต่โฮเวิร์ดไม่นับถือศาสนาไหนทั้งสิ้น และโทนี่รับความคิดนั้นเข้ามาเต็มๆ
เขาไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดคนอื่นจึงต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอื่นใดนอกจากตัวเอง
...ก็คุณมันเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล...เสียงในหัวเขาฟังคล้ายเสียงเมลิสสาชอบกล คิดถึงหญิงสาวแล้วเขาก็ต้องกลอกตา
เธอไม่ได้เข้าใจเขาเลยสักนิด แต่ก็เหมือนกับทุกคนไม่ใช่รึไง
เห็นเขาเป็นลูกชายของโฮเวิร์ด สตาร์ค ทายาทบริษัทสุดรวย เด็กปาร์ตี้ เพลย์บอย
คิดแล้วเซ็งก็สาเหตที่เขาต้องเปียกซกวันนี้ก็เพราะว่าเมลิสสาไม่ยอมฟังกันเลยน่ะสิว่าที่เขาสายน่ะไม่ใช่เพราะไปสับรางหรืออะไร
แต่เขาติดงานที่แล็บจนลืมไปจริงๆว่าพวกเขามีนัดกัน
แล้วก็ขอโทษทีที่นี่เป็นคำตอบเหมือนทุกครั้งที่เขาไปสาย เฮ้
ก็เขาอยู่ในแล็บจริงๆนะ ครั้งก่อนหน้า ครั้งก่อนๆหน้า หรือว่าครั้งไหนๆด้วย
ไม่ใช่แล็บCSAIL ก็เป็นห้องสมุดบาร์คเกอร์ [^1] หรือไม่ก็ห้องอ่านหนังสือ 24 ชั่วโมงทั้งหลายที่กระจายตัวไปตามตึกๆต่างๆใน MIT ใครมันจะมีเวลาไปหากิ๊กกันบ้าง
[^1]: Barker Library – เป็นห้องสมุดของคณะวิศวกรรมของ MIT ค่ะ
แต่ที่เขาไม่คุ้นเคยยิ่งกว่าแท่นบูชาก็คืออ่างน้ำพุเล็กๆที่ด้านข้างแท่นบูชา
ชายหนุ่มขมวดคิ้วคิดกับตัวเองอย่างสงสัยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ
ตาสีน้ำตาลอ่านคำอธิบายข้างๆ น้ำพุอธิฐาน เห็นแล้วโทนี่ก็ส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจนถึงป่านนี้ยังมีคนเชื่ออะไรแบบนี้อีกด้วย
“ถ้าขอพรได้จริงๆ
คงไม่มีใครอกหักรักคุดหรือว่าโดนทิ้งกันแล้วหล่ะ
แล้วเราก็คงมีคนรักที่รักเราจริงโดยไม่สนนามสกุลสตาร์คหรือว่าเงินจากทรัสต์ฟันด์ที่เรามี" ชายหนุ่มหัวเราะหึหึให้กับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา "ตลกชะมัดเรา
ยังกับว่าขอกับอ่างน้ำพุแบบนี้จะเป็นจริงไปได้อย่างนั้นแหละ"
ก็แค่สิ่งของเท่านั้นเอง ไม่มีพรจากฟ้า หรืออำนาจวิเศษอะไรทั้งนั้น ไร้สาระเป็นที่สุด
แต่แล้วอยู่ดีๆ
ก็มีลมอุ่นพัดวูบผ่านตัวเขา ไล่ทุกความหนาวเหน็บในร่างกาย
มือที่เคยแข็งเย็นกลับอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ
โทนี่กลืนน้ำลายแล้วพยายามไม่นึกถึงตำนานของเมืองที่บอกว่าโบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่ที่คู่รักมักมาขอพรให้สมหวังในความรักตลอดไป...ก็แค่เรื่องงมงาย...ลมอุ่นนั้นก็แค่การถ่ายเทของเอนโทรปี้
ไม่ใช่เรื่องแปลกอธิบายไม่ได้สักหน่อย
แต่ในเมื่อเขาอุ่นแล้วก็ไม่ควรอ้อยอิ่งอยู่ต่อใช่ไหม
ก็แค่เขาไม่อยากเสียเวลาที่นี่เท่านั้นเอง ไม่ใช่เพราะปอดของเขาอยู่ดีๆมันก็เหี่ยวลงสักนิดเดียว
ไม่ใช่ๆเลย
.
.
.
Where you think you're going, baby?
แต่ถึงเขาจะบอกตัวเองว่ายังไง
ก็ตามแต่จนแล้วจนรอดเมื่อกลับมาถึงมหาวิทยาลัยเขาก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกประหลาดที่เขารู้สึกตั้งแต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าน้ำพุนั่นในโบสถ์ออกไปได้
บ้าชะมัด บางทีเขาอาจจะต้องนอนสักตื่นก็ได้ สมองเขาเบลอไปแล้วแน่ๆ
ถึงได้รู้สึกแปลกๆ กับเรื่องเหนือธรรมชาติ
คิดแล้วชายหนุ่มก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหมายจะรีบไปให้ถึงหอพักของเขาที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
และเพราะบางทีเขาอาจจะรีบเกินไปหรือว่านี่คือคืนเดือนมืดที่แทบจะไม่มีดาว
และMITอยากปกป้องหมีขั้วโลกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบแต่ว่ามหาลัยเปิดไฟน้อยเหลือเกินช่วงกลางคืน
เพราะฉะนั้นโทนี่พูดได้เต็มปากว่าที่เขาอยู่ดีๆก็โดนเด็กวัยรุ่นสามสี่คนมารุมล้อมหน้าล้อมหลัง
แล้วดูท่าว่ากระเป๋าเงินพร้อมบัตรเครดิตทั้งหลายจะถูกสอยไปด้วยกันเนี้ยมันไม่ใช่ความผิดเขาเลยสักนิด
ถึงเขาเลือกทางที่เปลี่ยวไปสักหน่อย แหมก็มันไม่อ้อมนี้
"เอ่อ...จะเอาอะไรก็เอาไป" ขออย่าอัดกันเป็นพอ...นี่บอกไปรึยังว่ามันใกล้สอบขนาดไหน
เขาไม่อยากหยุดเรียนไปหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลนะ หรือไม่อยากลากเฝือกเข้าสอบด้วย
รู้ไหมการเขียนด้วยมือที่เข้าเฝือกมันยากขนาดไหน
โทนี่คิดอย่างขยาดๆแล้วรีบยื่นกระเป๋าตังของเขาให้กลุ่มเด็กที่ล้อมเขาอยู่
คนที่ดูท่าเป็นหัวโจกรีบคว้ากระเป๋าเงินจากมือเขาแล้วเปิดออก
ก่อนจะค้นแล้วเงยหน้าทำหน้าโหดใส่เขา
"ทำไมไม่มีเงินเลยวะ"
ใครมันพกเงินกันบ้างยุคสมัยนี้แล้วเฟ้ย โอ๊ย โทนี่คิดอย่างหงุดหงิด
อย่ากลอกตา อย่ากลอกตา อย่าต่อล้อต่อเถียง
ปิดปากไว้โทนี่ สตาร์ค ชายหนุ่มต้องตะโกนบอกตัวเองในใจ
แหมถึงปกติเขาจะคุมปากตัวเองไม่ค่อยได้
แต่เขาก็ยังพอมีสัญชาติญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ล่ะนะ
"ก็มีบัตรพวกนั้นไง"
ไอ้คนที่ถือกระเป๋าตังเขาไว้ยื่นให้เด็กหนุ่มข้างตัวก่อนจะใช้สองมือคว้าเสื้อแจ็คเก็ตเขาแล้วยกเขาจนตัวแทบลอย
"คิดว่ากูโง่รึไง
ใช้บัตรตำรวจก็ตามได้สิ"
แล้วนี่คิดว่าจะยังมีคนพกเงินสดเดินไปไหนมาไหนริมๆ MIT รึไง
คนคิดอย่างนั้นไม่โง่ก็บ้าแล้ว เสียงในหัวโทนี่ตะโกนตอบ แต่ก่อนที่อะไรๆหลุดรอดปากเขาไปได้
เสียงตะโกนขัดจังหวะก็ดังขึ้น
"เฮ้ ทำอะไรกันน่ะ" คนพูดอยู่อีกด้านของถนนมืดๆ โทนี่พยายามหันหน้าไปมอง ในใจภาวนาให้เป็น Boston
PD แต่เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาถึงจะดูน่าจะอัดกับพวกนี้ได้
แต่ยังไงๆก็เป็นคนธรรมดาแน่ๆ ไม่ได้อยู่ในชุดตำรวจสีฟ้าอย่างที่เขาอยากเห็น
นี่พ่อคุณจริงๆน่ะช่วยโทรเรียกตำรวจเถอะ จะวิ่งเข้ามาช่วยโดนอัดทำไมไม่ทราบ
ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ โทนี่ต้องขมวดคิ้ว ผ้าพันคอผืนโตพันปิดหน้าจนเหมือนมีแค่ตาสีฟ้ากับผมสีทองที่โผล่พ้นผ้าออกมา
แถมท่าทางที่เดินเหมือนเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจว่ากำลังเดินไปถูกทางรึเปล่า
นี่หลงทางรึเปล่าเนี้ย
"หันหลังกลับไปแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะถ้ายังไม่อยากเดือดร้อน”
ไอ้คนที่มือยังขยุ้มคอเสื้อโทนี่หันไปคำรามข่มขวัญ
แต่หนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามาดูเหมือนจะไม่สนใจเลยสักนิด
ในที่สุดชายหนุ่มก็เดินมาหยุดหน้ากลุ่มพวกนั้น โทนี่พยายามส่งสายตาอยากจะบอกว่านายช่วยเผ่นแล้วโทรแจ้งยามแคมปัสทีเถอะ
เห็นไหมว่านี่ห้าคนตัวบึ๊กๆทั้งนั้น แต่ไม่ใช่แค่เหมือนอีกคนจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าโทนี่พยายามส่งกระแสจิตว่าอะไร
หมอนั่นเห็นหน้าเขาชัดๆแล้วดันทำหน้าผงะเหมือนผีหลอกก่อนจะกำหมัดแน่นแล้วตั้งท่าเหมือนพร้อมอัดทุกคน
เฮ้ยถึงเขาจะดูเตี้ยแถมยังเป็นพวกเนิร์ดแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาดูแลตัวเองไม่ได้
“ปล่อยเขาเดี๋ยวนะ”
เสียงชายหนุ่มร่างสูงผมทองที่โทนี่คิดว่าอาจจะสมองฟั่นเฟือนพูดออกมา
พวกอันธพาลมองหน้ากันอย่างไม่ไว้ใจ
มันคงคิดเหมือนอย่างเขาว่าบ้ารึเปล่าเด็กเอ็มไอทีมีจะยอมไม่วิ่งหนีด้วยรึไง
ก่อนที่ตัวหัวโจกจะพยักหน้าให้ลูกน้องไปจัดการรุมคนที่เข้ามาแส่
เสียงหมัดหนักๆกระทบเข้ากับใบหน้า
แต่แทนที่จะเป็นหนุ่มร่างสูงท่าทางสู้ใครไม่เป็นที่โดนยำตีนกลับเป็นฝั่งรีดไถที่โดนอัดเละ
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผมทองก็อึ้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
ดวงตาสีอ่อนมองดูกำปั้นตัวเองอย่างตะลึงๆ
ผ้าพันคอผืนโตหลุดลงไปบนพื้นคงเป็นตอนที่เจ้าตัวขยับตัวหลบ แล้วใบหน้าข้างใต้นั่น...ก็ทำให้เขาใจเต้นผิดจังหวะไปสักหน่อย
ยิ่งตอนที่หนุ่มผมทองส่งยิ้มกวนๆแล้วมองไปที่อีกหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่นั่นก็คือไอ้ตัวคนที่มันยังกุมเสื้อแจ็คเก็ตโทนี่ไว้
“บอกไว้เลยนะผมทำอย่างนี้ได้ทั้งวัน
ปล่อยเขาซะ” เสียงทุ้มกังวานพูดขึ้นอีกครั้ง
ไอ้โจรมันคงคิดสารตะและได้ข้อสรุปว่ารักษาตัวดีกว่าเงินไม่เท่าไหร่
มันถึงยอมปล่อยมือจากคอเสื้อเขาแล้ววิ่งลับหายไปในความมืดไม่สนใจเพื่อนร่วมแก๊งที่ยังสลบเหมือดคาพื้น
หนุ่มล่ำบึ้กก้มลงหยิบผ้าพันคอของตัวเองกระเป่าตังของเขาที่ตกพื้นก่อนจะส่งมันให้เขา
ส่วนโทนี่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ สมองเขายังปรับไม่ทันเท่าไหร่
เมื่อนาทีที่แล้วเขาเพิ่งบอกตัวเองว่าจะโดนอัดอาจถึงเข้าโรงพยาบาล
แถมยังก่นด่าคนที่เดินเข้ามาช่วยโดยไม่ลากตำรวจมาด้วย
แล้วตอนนี้กลายเป็นว่าเขาได้มาจ้องหน้าหล่อๆ ซื่อๆ ของหนุ่มตัวสูง ผมทอง ใส่เสื้อคลุมหนังพอดีตัว
ข้างใต้เป็นเสื้อยืดฟิตเปรี้ยะที่เห็นแล้วสามารถจินตนาการถึงกล้ามเนื้อและซิกซ์แพคแน่นๆ
แถมยังนิสัยดีเป็นฮีโร่มาช่วยเขาอีก
“นี่ผมเดินเข้ามาผิดมหาลัยใช่ไหม”
โทนี่พึมพำออกมาหลังจากได้เห็นใบหน้าฮีโร่ของเขาใกล้ๆ เพราะไม่มีทางที่นักเรียน MIT จะมีคนหน้าตาแบบนี้
สาบานได้เลย เพราะถ้ามีอย่างนี้ไม่มีทางที่โทนี่จะไม่รู้ เพราะว้าว ตาโตสีฟ้า
ขนตายาว กรามเป็นสันอย่างกับรูปปั้นกรีก แล้วหุ่นที่น่ากินแบบสุดๆ
และถ้าตอนที่คนตัวสูงจะช่วยพยุงเขาขึ้นมาแล้วโทนี่แข้งขาอ่อนจนใบหน้าไปซบกับแผ่นอกกว้างก็ไม่ใช่เพราะเขาจะอ่อยอะไรเล้ย
ไม่ใช่สักนิ้ดเดียว โอเคๆ อาจจะนิดนึง แต่แหมช่วยเข้าใจกันนิดนึง
คนที่อยู่ดีๆก็มีโทนี่
สตาร์คในอ้อมแขนทำตาโตอย่างตกใจ ร่างสูงพยายามดันตัวเขาออก
แต่โทนี่ไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ
อย่างน้อยเขาต้องขอบคุณสิ...นี่เขาแค่พยายามจะมีมารยาทนะ
ไม่ได้คิดจะหาทางลวนลามหรือชวนพ่อหนุ่มตาฟ้านี้ไปเดทเลยสักนิด
นี่เขาเพิ่งถูกหักอกมานะ โธ่เอ้ยถึงจะโสดสนิท 100% แถมคนตรงหน้าเป็นหน้าตาแบบที่เขาชอบล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ว่า...แต่ว่า
...แต่ว่าช่างแม่ม ชีวิตนี้สั้นนัก
เขาอาจจะตายก่อนสอบเสร็จก็ได้...ตัดสินใจได้แล้วโทนี่ก็คว้าข้อมืออีกคนไว้หมับ
ไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนเด็ดขาด
"เฮ้ จะรีบไปไหน"
โอ๊ยแล้วทำไมเขาถึงฟังดูเหมือนพวกขี้เมาที่ไปเกี้ยวหญิงตามบาร์อย่างนี้น้า
พ่อหนุ่มหุ่นน่าขย้ำหันกลับมาพร้อมกับทำตาโตอย่างตกใจ
"เอ่อ ผมคิดว่า...ผมน่าจะต้องไปโรงพยาบาล"
โทนี่หรี่ตามองอีกคน
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าเมื่อกี้ที่เข้ามาช่วยฉันไว้”
หนุ่มผมทองรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่เจ็บครับ คุณนั้นแหละที่เจ็บตร—“
“เจ็บสิ เจ็บตรงหัวใจชะมัด”
โอ๊ยนี่เขาจะเล่นมุกนี้จริงๆใช่ไหม ใครก็ได้เอาลวดมาเย็บปากเขาที
“ยิ่งนายเดินห่างฉันยิ่งเจ็บหน้าอก เพราะหัวใจของฉันมันถูกนายดึงออกไปด้วย”
ไม่ทันแล้ว ปากมันพูดไปแล้ว คำพูดน้ำเน่าที่คนฟังได้ยินคงอยากคายของเก่าแหง
แต่คนที่ได้ยินกลับไม่มีอาการคลื่นเหียนมีแค่ตาสีฟ้าที่เบิกกว้างก่อนจะหรี่ลงมองเขา
“พวกเขากระแทกหัวคุณรึเปล่า”
“อาจจะนะ
ตอนนี้ฉันอาจจะกำลังสลบอยู่ เพราะแน่ใจเลยว่าที่พูดกับฉันตอนนี้คือเทพบุตร” โอเค
เขาอาจจะต้องไปเข้าหลักสูตรเร่งรัดวิธีการจีบแล้ว
เพราะไม่ว่าโทนี่จะคิดอะไรสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาก็คือคำพูดเห่ยๆแบบนี้
คนฟังกระพริบตาแล้วหันไปมองรอบๆ
เหมือนอยากให้แน่ใจว่าที่โทนี่พูดน่ะหมายถึงตัวเองจริงๆ โธ่เอ้ยแล้วจะมีใครได้อีก
เมื่อไม่เห็นว่ามีใครที่จะเป็นเทพบุตรนอกจากที่โทนี่พูด
หนุ่มผมทองก็ยกนิ้วมาจิ้มหน้าอกตัวเองเหมือนจะถามให้แน่ใจว่านี่คุณพูดกับผมเหรอ
ก่อนจะหน้าแดงจัดเมื่อโทนี่ยิ้มแล้วกระพริบตาข้างหนึ่งกลับไป
“คะ...คุณ...คิดว่าผม...หน้าตาดีเหรอ”
หนุ่มผมทองพูดตะกุกตะกักสะดุดกับคำว่าหน้าตาดีเหมือนว่าเป็นครั้งแรกที่เขาต้องใช้คำนั้นบรรยายตัวเอง
“ใช่พ่อหนุ่มนักกล้าม
แล้วฉันว่าเราน่าจะไปหาอะไรกินกัน”
เป็นอีกครั้งที่พ่อหนุ่มผมทองทำเหมือนโทนี่เสียสติ
คนตัวสูงมองไปรอบๆอีกครั้ง เหมือนกลัวว่านี่จะเป็นรายการแอบถ่ายหรืออะไร
ทำไมหมอนี่ทำเหมือนการที่โดนจีบเป็นอะไรที่ผิดปกติอย่างนั้นแหละ
คือถ้าหน้าตาแบบนี้ หุ่นแบบนี้ โทนี่แน่ใจว่าเขาจะต้องชินสุดๆที่โดนคนไม่รู้จักชวนไปกินข้าว
“แบบดะ...เดท...กันเหรอ”
พูดจบประโยคคนพูดก็หน้าแดงปี๊ด ก่อนจะส่ายหน้าแล้วรีบถอยหลัง
“คือว่าผมต้องไปโรงพยาบาลด่วน แล้ว...แล้ว...แล้วคุณก็ไม่ได้รู้จักผมซะหน่อย”
“ก็นี่ไงที่อยากจะทำความรู้จัก”
โทนี่ไม่ยอมแพ้ รีบสาวเท้าตามคนตัวสูงไปทันที “อีกอย่างฉันอยากขอบคุณนายด้วย”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก
ผมแค่ไม่ชอบพวกนักเลง” คนตัวสูงตอบโดยไม่หยุด
โทนี่ต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อให้ตามอีกคนทัน ขอโทษทีเถอะที่ขาสั้น
“ฉันหิวด้วย
วันนี้ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย” โทนี่พูดต่ออย่างไม่ลดละ เพราะถึงคนที่เขาตามจะบอกว่ามีธุระ
แต่ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธออกมาชัดๆเสียหน่อย
อีกอย่างหมอนั่นหน้าแดงให้กับประโยคจีบสุดเห่ยของเขานะ
ถ้าไม่ได้มีใจคิดว่าเขาน่ารักสักนิดคงโดนหัวเราะใส่แล้วเชิดใส่แหง
เขามีหวังหรอกน่า โทนี่บอกกับตัวเองแล้วพยายามส่งยิ้มหวานให้อีกคน
"วันนี้มีขนมแจกฟรีที่ห้องสมุดฮาร์เดน[^2] นะครับ รหัสเข้าแพนทรี่คือ 14087" ทันทีที่ได้ยินโทนี่ก็ต้องหุบยิ้ม
[^2]: Hayden Library – ห้องสมุดของคณะสังคมและวิทยาศาสตร์ใน MIT ค่ะ
"โอเคๆก็ได้นายมีธุระ”
ในที่สุดโทนี่ก็พูดอย่างยอมแพ้ แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดเดินตาม กึ่งวิ่ง – หมอนี่จะไปเดินไล่ควายที่ไหนเนี่ย
ไม่เห็นรึไงขาเขาสั้นกว่าตั้งครึ่งฟุต!!
“แต่อย่างน้อยบอกชื่อกับคณะหน่อยก็ดี
ไม่ได้พูดเล่นนะที่อยากรู้จักคุณ”
คนตัวสูงอ้าปาก
แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบอะไรออกมาก็เหมือนเปลี่ยนใจรีบปิดปากสนิท
“ไม่อยากบอกเหรอ
ถ้าอย่างนั้นฉันจะตั้งชื่อให้เองนะ” โทนี่เลิกคิ้ว อีกฝ่ายยังคงเงียบ ก็ได้ บางทีหมอนั่นอาจจะไม่ใช่หน้าแดงเพราะเขาก็ได้
ช่วงนี้อากาศก็ออกจะเย็น บางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดไปเอง แต่เฮ้นี่เขานะ
สุภาษิตประจำใจของเขาก็คือ in
for an inch, in for a mile โทนี่หรี่ตามองคนที่ยังคงเดินฉิวอย่างพิจารณา
ผมทอง ตาฟ้า เตะต่อยเก่ง หุ่นแจ๋ว อืม... “อเมริกา”
โทนี่ประกาศออกมาโต้งๆแล้วยิ้มกับตัวเอง “ฉันขอเรียกนายว่ากัปตันอเมริกา”
“อะไรนะ”
หนุ่มตัวสูงหยุดแล้วมองเขาเหมือนโทนี่เพิ่งพูดอะไรที่ไม่ปกติที่สุดออกไป
ซึ่งขอบอกว่าเริ่มทำให้เขาหงิดๆขึ้นมาแล้วนะ เพราะรู้จักกันได้ไม่ถึงห้านาทีเขาแน่ใจว่า
99% ของเวลาที่รู้จักกันพ่อหนุ่มนี่มองว่าเหมือนเขาไม่เต็มอยู่ตลอดเวลา
“ก็คุณเหมือนกัปตันอเมริกาออก ผมทอง
ตาฟ้า สูง แล้วก็ช่วยเหลือคนไม่มีทางสู้อย่างฉัน”
โทนี่ทำเป็นกัดปากกระพริบตาปริบๆส่งไปให้
“ผม...ผมไม่ใช่..ผมชื่อ...”
โทนี่ตั้งใจฟังรอให้คนที่หน้าแดงจัดหลุดปากออกมา
แต่เหมือนอีกคนอ่านเกมส์เขาออกทันที ตาสีฟ้าหรี่ลง “ตามใจคุณ”
อะไรนะ
นี่เขาดูไม่น่ารู้จักขนาดนี้เลยเหรอ
เขากำลังจะทำใจยอมรับความพ่ายแพ้แล้วหมุนตัวกลับแล้ว
แต่ท้องเจ้ากรรมดันร้องออกมาก่อนที่เขาจะได้หันหลังหมุนตัวเท่ๆ จบกันไม่เหลือ
นอกจากจะโดนหญิงทิ้ง โดนไถเงิน โดนมองเหมือนไม่ค่อยเต็ม
แล้วคงยังโดนจำว่าเป็นผู้ชายที่ท้องร้องได้ดังที่สุดในโลกอีกด้วย
“เอ่อ
คุณยังไม่ได้ทานข้าวเย็นจริงๆใช่ไหม” อยู่ดีๆหนุ่มผมทองก็พูดขึ้นมาก่อน
เป็นครั้งแรกที่สายตานั้นมองเขาอย่างเป็นห่วง คนพูดยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
คิ้วสีอ่อนขมวดมุ่น “ดึกขนาดนี้แล้ว คุณจะออกไปกินข้าวเหรอ”
โทนี่พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าทำไมคนตัวสูงถึงมองเขาอย่างเป็นห่วง
แน่ล่ะเวลานี้รอบๆมหาวิทยาลัยมันก็คือซ่องโจรดีๆนี่เอง นี่ MIT นะไม่ใช่ฮาร์วาร์ด
แถวนี้ใกล้แหล่งเสื่อมโทรมกว่าแถมยังมีอาชญากรรมสูงกว่าเป็นเท่าตัวอีกด้วย
ดวงตาสีฟ้ามองหน้าเขาแล้วลดตาต่ำลงเหมือนเจ้าตัวกำลังชั่งใจอย่างหนัก
“ผมจะไปร้านอาหารกับคุณแล้วไปส่งคุณที่หอก็แล้วกัน”
ห๋า…หมอนี่ตกลงไปกับเขาเพราะกลัวเขาโดนปล้นอีกรอบเหรอ
ไม่ใช่เพราะโทนี่อ่อยแล้วอ่อยอีก หรือว่าเฮลโหลเขาคือโทนี่ สตาร์คเหรอ
“ตกลง มีร้านที่ฉันว่าเราน่าจะ—“ โทนี่จับข้อมือกัปตันอเมริกาของเขา
– แน่นอนโมเมเป็นของเขาไปเรียบร้อยแล้ว – แล้วลากไปอีกทาง
“ไม่ ทางนั้นอันตราย ผมเคยโดนอัด— เอ่อคือทางนั้นอันตรายก็แล้วกัน
มีร้านใกล้ๆท่าจอดเรือ ไม่ค่อยมืดเท่าไหร่ในเวลานี้ ไปร้านนั้นก็แล้วกัน”
พูดจบก็ออกเดินส่วนเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ ก็ได้ๆ เอาน่าอย่างน้อยก็ได้กินข้าว
แล้วอาจจะได้รู้จักด้วยว่ากัปตันอเมริกาของเขาน่ะชื่อจริงว่าอะไร
.
.
.
แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอดคนตัวสูงก็ไม่หลุดปากบอกชื่อจริงให้เขารู้
แน่นอนหมอนั่นปฏิเสธเสียงตะกุกตะกักพร้อมหน้าแดงแปร๊ดทุกครั้งที่เขาเรียกว่ากัปตันอเมริกา
จนเขาต้องสงสารแล้วย่อๆให้เหลือแค่แคป แถมร้านที่แคปพาเขาไปยังไร้ความโรแมนติคสิ้นเชิง
มันคือเพิงขายอาหารฟาสต์ฟู้ดริมอ่าว แน่นอนแถวนี้อาจจะไม่ใช่เขตที่มีโจรมาดักปล้น
เพราะนี่ริมแม่น้ำในเดือนสิบสองนะ
ใครมันจะมีความอดทนมานั่งแกร่วดักปล้นในที่ที่ลมพัดมาทีนึงก็ไตแข็งไปข้างแล้วบ้าง
แล้วไม่ใช่เขาไม่หนาว...โทนี่สั่นหงักๆจนมาได้น้ำร้อนกับฮอตดอกนี่แหละเขาถึงรู้สึกว่ามันคุ้มที่เดินมา
“คุณออกมาทำไมดึกๆดื่นๆ”
คนที่นั่งกัดฮอตดอกตรงข้ามเขาพูดขึ้น
เป็นครั้งแรกที่อีกคนดูสนอกสนใจกับชีวิตของเขา
แต่ทำไม้ทำไมต้องเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเล่าที่สุดด้วยนะ
“กลับมาจากในเมืองน่ะ”
ถึงเขาจะงี่เง่าเรื่องการพูดกับคนขนาดไหนแต่เขาก็ไม่ถึงขนาดที่จะบอกว่าเมื่อชั่วโมงก่อนเขาเพิ่งออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วตอนนี้เขากำลังพยายามขอเบอร์คนตรงหน้าหรอกน่า
“ใกล้สอบขนาดนี้แล้วคุณออกไปเที่ยวเหรอ
ไม่เหมือนคุณเลย”
โทนี่เลิกคิ้ว “ตกลงนายรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร”
“โทนี่ สตาร์ค ผมไม่ได้ตาบอดนะครับ”
แคปพูดชื่อเขาช้าๆก่อนจะยิ้มมุมปาก
โอ๊ยแล้วทำไมหัวใจเขาต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยไม่ทราบ
“ไม่มีใครที่นี่ไม่รู้จักคุณหรอก”
ไม่ยุติธรรมสักนิด
โทนี่คิดอย่างเซ็งๆ เห็นหน้าเขาปุ๊บใครๆก็รู้ว่าเขาเป็นใคร
และคงตัดสินเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
แต่เขาสิกลับไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของหนุ่มตาสวยตรงหน้าเลย และถ้าให้ทายเพราะเขาเป็นโทนี่
สตาร์คแน่ๆหมอนั่นถึงไม่บอกชื่อกับเขา เฮ้อ เพลย์บอย เด็กรวย โคตรสปอยล์
อัจฉริยะเอาใจยาก ชื่อเสียๆทั้งนั้น
“นอกจากชื่อแล้วนายรู้อะไรเกี่ยวกับฉันอีกล่ะ”
คนโดนถามเลิกคิ้ว
มองหน้าเขานิ่งแล้วถอนหายใจ “ผมไม่ได้รู้จักคุณดีกว่านั้นหรอกครับคุณสตาร์ค
ผมแค่รู้ว่าคุณเป็นนักเรียนดีเด่น คุณเก่งมาก แล้วคุณก็ใช้เวลาอยู่ในแลบไม่ก็ห้องสมุดตลอด”
นั่นก็ดีกว่าที่คนส่วนใหญ่คิดแล้ว
“ฉันว่านายใช้คำคุณศัพท์ผิดนะ เก่งมากอย่างนั้นหรอ อย่างน้อยๆมันต้องคำว่าอัจฉริยะ
ปราดเปรื่อง ฉลาดล้ำ”
“และคุณไม่มีความถ่อมตัวเลย”
“เฮ้ ฉันแค่ชอบพูดความจริง” โทนี่หัวเราะร่วน
เสียงตี๊ดดังมาเบาๆจากในกระเป๋าเสื้อ
หนุ่มผมทองรีบล้วงมือเข้าไปคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วกดดูข้อความ
ถอนหายใจแล้วพิมพ์อะไรสั้นๆตอบกลับไป
“เราต้องกลับมหาวิทยาลัยแล้วนะ”
“มีนัดรึไง”
โทนี่ถามแต่ก็ยัดฮอตดอกเข้าปากแล้วรีบคว้ากระดาษทิชชู่ก่อนจะลุกขึ้น
“ผมมีงานต้องทำน่ะสิ”
คนพูดมีสีหน้ายุ่งยากใจ “แล้วยังต้องจัดการกับ...”
แคปหยุดแค่นั้นก้มมองเท้าตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้ว
ก่อนจะพึมพำเบาๆเหมือนพูดกับตัวเอง “นี่จะอธิบายยังไงกับโคลสันดีล่ะ”
“โคลสัน บรรณารักษ์ห้องสมุดฮาร์เดนอะนะ”
โทนี่ถาม เพราะในเอ็มไอทีมีโคลสันคนเดียวที่เขารู้จัก บรรณารักษ์หน้ายิ้ม
แต่จริงๆโหดถึงตาย “นายไปยืมหนังสือแล้วไม่คืนเหรอ”
แคปถอนหายใจก้าวยาวๆ
เป็นอีกครั้งที่โทนี่ต้องวิ่งจ๊อกกิ้งไล่จับ
“เจ้านายผมต่างหาก”
“ห๋านายทำงานในห้องสมุดเหรอ
พูดจริงพูดเล่น ทำไมฉันไม่เคยเห็นนายเลยสักครั้งเดียว”
คนตัวสูงหยุดนิ่ง หันขวับมามองเขา
ก่อนจะทำหน้าบึ้งแล้วออกเดินฉับๆอีกครั้ง
“อ้าว โกรธอะไรน่ะ”
“เปล่าซะหน่อย” คนตอบยังคงปากแข็ง
“โกหกชัดๆ
แล้วถ้าจะโกรธก็โกรธไปแต่ช่วยเดินช้าๆหน่อย ฉันวิ่งตามเหนื่อยนะเว้ย”
สิ้นประโยคของโทนี่ คนที่เดินก้าวฉับๆก็หยุดกึกเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวแล้วหันมามองเขา
“เอ่อ...ขอโทษทีปกติผม...ผมต้องเดินเร็วๆให้ทันเพื่อนคนอื่นน่ะ”
“เพื่อนนายเป็นยักษ์รึไง
ขานายยาวจะตาย ก้าวทีนึงก็ไปแล้วสามฟุต”
แคปไม่ตอบแต่ก็ก้าวช้าลงเยอะ
พวกเขากำลังเดินตัดผ่านถนนเอมส์เลียบไปข้างๆสนามเทนนิสที่เวลาดูน่ากลัวมากกว่าน่ามาหวดลูกสักหลาด
ดึกขนาดนี้ถนนที่ปกติคึกคักกลับเงียบสนิท
มีแค่เสียงฝีเท้าแล้วก็หัวใจของโทนี่เท่านั้นแหละมั้งที่เต้นดัง
โธ่ก็เพราะเวลาใกล้จะหมดแล้วน่ะสิ เขาจำทางได้อย่างชัดเจน ถัดจากสนามเทนนิสไปอีกนิดก็เป็นห้องสมุดฮาร์เดนแล้ว
นี่เขาจะนกจริงๆหรือนี่ ทั้งๆที่อุตสาห์เจอคนถูกใจ ทั้งหน้าตา แล้วก็นิสัยด้วย
โทนี่เหลือบมองคนตัวสูงที่ตอนนี้กลับมาใช้ผ้าพันคอผืนโตพันคอปิดหน้าไว้อีกแล้ว
“นี่ นายบอกว่าจะไปส่งฉันใช่ปะ”
โทนี่เริ่มมหกรรมโมเมไปเองรอบสอง แต่เขาคิดว่าใช่นะ
คลับคล้ายคลับคลาว่าฮีโร่ของเขาพูดอย่างนี้นะ แคปหันมามองเขาแล้วขมวดคิ้ว
“อยู่ในมหาวิทยาลัยแล้ว
ไม่น่ากลัวซะหน่อย เดี๋ยวผมต้องเข้ากะตอนเที่ยงคืนนะครับ หอชายอยู่อีกตั้งไกล”
“แล้วถ้าฉันโดนปล้นอีกรอบล่ะ”
โทนี่ทำสีหน้าที่เขาคิดว่าดูกลัวและอิโนเซนต์ที่สุดเท่าที่เด็กปริญญาโทประสบการณ์เยอะอย่างเขาจะทำได้
ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล “แล้วไม่ใช่หอชายซะหน่อย ไปส่งที่แลบหน่อยสิ ตึก CSAIL (Computer Science and Artificial
Intelligence Lab) ก็เลยไปนิดเดียวเอง อีกอย่างนี่เพิ่งห้าทุ่มครึ่ง
ยังมีเวลาอีกตั้งนานนะ”
คนฟังขมวดคิ้ว
เหลือบมองเขาอีกรอบเหมือนชั่งใจทำยังกับว่าเขาจะหลอกไปขม้ำอย่างนั้นแหละ
คนที่อยากโดนขม้ำน่ะเป็นเขาต่างหากเล่า
“ดึกขนาดนี้ตึกปิดแล้วมั้งคุณ
คุณไม่คิดจะหลับจะนอนแบบชาวบ้านบ้างเลยรึไง” เสียงอู้อี้ดังมาจากใต้ผ้าพันคอ
“ธีซิสจบของฉันยังคงเป็นโค้ดที่เออร์เรอร์ไม่เว้นวันอยู่ในตึกนั้นน่ะสิ
นอนไปก็ฝันร้ายเปล่า” โทนี่ไม่ได้โกหก
ปัญญาประดิษฐ์ที่เขาปล้ำสร้างมาเกือบปียังคงไม่ถึงมาตรฐานที่เขาต้องการ
แน่ล่ะจาร์วิสของเขาก้าวหน้ายิ่งกว่าโครงการไหนๆ
แต่แค่ชนะคนอื่นน่ะเป็นเรื่องกล้วยๆ ที่เขาต้องการคือให้ได้อย่างใจต่างหาก
คราวนี้แคปยิ้ม ไม่ได้เห็นปากหรอกเพราะผ้าพันคอยังคงปิดอยู่
แต่เห็นจากดวงตาคู่สวยสองคู่ที่หันมามองส่งเป็นรอยยิ้มยิบหยีให้เขาแทน
“สมเป็นคุณดีนะ ไม่หลับไม่นอนเพราะธีซิสเนี่ย” ได้ยินแล้วโทนี่เกือบจะสะดุดหินล้ม
ใช่ที่ไหน ถ้าเป็นคนอื่นคงพูดว่าเขาไม่หลับไม่นอนเพราะปาร์ตี้ต่างหาก “ก็ได้ ผมไปส่งคุณที่
CSAIL แต่ถ้าตึกปิดแล้วคุณต้องเดินกลับหอเองนะ
เดินบนถนนดีๆเหมือนคนธรรมดาด้วย ข้างในนี้ไม่น่ากลัวแล้ว”
โทนี่พยักหน้าแล้วยิ้มกว้าง
ไม่บอกหรอกว่าเขามีโค้ดเข้าตึก
อาจารย์ที่ปรึกษาเอือมระอากับการที่เขาแฮคระบบรักษาความปลอดภัยของตึกเพื่อกลับไปทำแลบดึกดื่นๆจนตัดปัญหาให้โค้ดกับโทนี่ซะเลย
พวกเขาเดินลัดผ่านสนามจนมาถึงกลุ่มตึกหน้าตาประหลาด
แต่ละตึกเหมือนถูกปะเชื่อมเข้าด้วยกันมากกว่าจะเป็นการออกแบบอย่างดี
ซึ่งก็สื่อถึงสิ่งที่ถูกสร้างในตึกนั้นเป็นอย่างดี
โทนี่ตรงเข้าไปที่ประตูเข้าชั้นใต้ดิน แล้วกดโค้ด
“เฮ้ เขาให้โค้ดเข้าประตูกับคุณเลยเหรอ
ปกติตึกนี้ไม่ใช่ผวากันจะตายเหรอว่าจะมีใครมาขโมยสิ่งประดิษฐ์”
โทนี่ได้ยินแล้วกลอกตา
ก่อนจะรีบเปิดประตูแล้วรุนหลังร่างสูงให้เดินเข้าไป “ถ้าเป็นคนอื่น
อย่างแฮมเมอร์ก็อาจจะใช่ แต่นี่เป็นฉันนะ คือแบบไม่มีอะไรในตึกนี้ที่ฉันเห็นแล้วอยากขโมย
อีกอย่างถ้ามีอะไรหายพวกเขาแน่ใจว่าฉันจะจ่ายคืนได้แน่นอน”
“ลืมไปคุณรวย”
“โอ๊ย ไม่ต้องถึงเงินที่บ้านหรอก
แค่เอาพวกหุ่นหรือโปรโตไทป์ที่ฉันทำตอนปริญญาตรีไปขายก็เหลือแหล่แล้ว
บอกรึยังว่าฉันเป็น—“
“อัจฉริยะ
ปราดเปรื่อง ฉลาดล้ำ คร้าบคร้าบ คุณบอกแล้ว” แคปพูดพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ
เสียงหัวเราะนั่นก้องให้ทางเดินแคบๆที่นำไปสู่ห้องแลบของเขา
ทางเดินที่ไม่ได้ร้อนเลยสักนิดแต่โทนี่กลับรู้สึกว่าอยู่ดีๆเขาก็ร้อนรุ่มขึ้นมาทั้งตัว
แบบแน่ใจว่าอย่างน้อยๆก็เป็นแก้มเขาแหละที่ร้อนจนรู้สึกเหมือนกำลังไหม้
โอ๊ยแค่เสียงหัวเราะเอง แค่เสียงหัวเราะเอง อย่าบ้าไปนะสตาร์ค เขาบอกตัวเอง
โทนี่กระแอมดึงสติตัวเองพร้อมกับมาถึงห้องแลบ
ทันทีที่เขาผลักประตูเข้าไปไฟก็ติดสว่างอย่างที่เขาตั้งโปรแกรมเอาไว้
“สวัสดีเด็กๆ แด็ดดี้กลับบ้านแล้ว”
โทนี่พูดทักทายกับเอไอของตัวเองอย่างปกติ ลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวแต่มีแขกด้วย
เมื่อนึกได้เขาก็รีบหันขวับมองคนรอบตัวที่เลิกคิ้วมองเขา
เหมือนจะถามว่าคุณเพิ่งเรียกตัวเองว่าแด็ดดี้จริงๆใช่ไหม “ไม่ต้องทักเลย”
โทนี่ขมุบขมิบปากพูด โอ๊ย ความเท่เขาต้องติดลบไปแล้วนะ ตั้งแต่โดนปล้น
การอ่อยที่ไม่ได้เรื่อง แล้วสุดท้ายยังมาเรียกตัวเองว่าแด็ดดี้
“ก็ไม่ได้จะพูดอะไรสักหน่อย”
คนตัวสูงพูดยิ้มๆพร้อมกับดึงผ้าพันคอออก โทนี่มองตามแล้วต้องกลืนน้ำลาย
เพราะพอไม่มีผ้าปิดเขาก็เห็นสันกรามนั่นชัดๆ คอแข็งแกร่ง แล้วยังแผงอกนั่นอีก
ให้ตายสิเขาเรียนมาหกปีโดยไม่รู้จักหมอนี่ได้ยังนะ “นี่หรือธีซิสของคุณ”
อเมริกาของเขามองไปที่หุ่นยนต์จากเศษเหล็กตรงหน้า
“ใช่ที่ไหนกันเล่า
นั่นฉันสร้างตอนเมาเอ๋ต่างหาก ธีซิสฉันอยู่นี่” โทนี่รุนหลังอีกคนไปด้านในสุด จนเกือบถึงทางออกอีกด้าน
ที่ๆเมนเฟรมตั้งกันเป็นแผง ไฟกระพริบแสดงการประมวลผลไม่หยุด “สมองกล”
“อา
ผมเป็นแค่สมองกลแล้วหรือครับคุณสตาร์ค” เสียงดังมาจากลำโพงตรงหน้าทำให้แคปสะดุ้ง
ส่วนเขาก็หัวเราะหึหึ จาร์วิสของเขาไม่มีร่างกายเหมือนหุ่นยนต์หรอก
ที่เขาจะสร้างคือโปรแกรมที่คล้ายมนุษย์มากที่สุด
มากพอที่จะผ่านทัวริ่งเทสต์อย่างง่ายๆเลย
“สวัสดีจาร์วิส” โทนี่ทัก
พร้อมกับหน้าจอตรงหน้าสว่างขึ้นมา ขึ้นคอมมานด์พร้อมให้เขาคีย์คำสั่ง
แต่ที่เด็ดที่สุดคือจาร์วิสสามารถรับคำสั่งด้วยอินพุทที่หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการคีย์หรือเสียง แล้วเขียนโปรแกรมตอบสนองเอง
"สวัสดีครับคุณสตาร์ค
แล้วก็...”
“เฮ้ ตอบกลับจาร์วิสสิ ปล่อยให้เขารออย่างนี้มารยาทไม่ดีเลยนะคุณน่ะ”
โทนี่หันมาพูดยิ้มๆ แอบชมจาร์วิสในใจ เขาจะได้ชื่อของกัปตันอเมริกาของเขาก็ตอนนี้แหละ
หลอกล่อมาทั้งคืน
“เอ่อ...อะ...อเมริกา”
พูดจบคนพูดก็แก้มแดงจัด เหมือนเขินสุดๆที่ตัวเองพูดอะไรแบบนั้นออกไป
“สวัสดีครับจาร์วิส” พ่อหนุ่มผมทองทักทายจาร์วิสแล้วก็ชวนคุยสัพเพเหระเรื่องอื่นต่อ
โอเคอาจจะไม่ได้ชื่อ
แต่เขาได้หัวใจเต้นเร็วอีกแล้ว
นี่เขาเคยบอกรึยังนะว่าจุดอ่อนอย่างหนึ่งของเขาก็คือลูกๆของเขานี้แหละ
เขาชอบเวลาที่คนปฏิบัติกับเอไอของเขาเหมือนสิ่งมีชีวิต
แล้วพ่อหนุ่มตรงหน้าเขาก็หันไปคุยจาร์วิสเหมือนคนปกติ
ไม่ได้มีน้ำเสียงดูถูกหรือทำเหมือนกำลังคุยกับหน้าจอเลยสักนิด แย่แล้วจริงๆนะ
ยิ่งใช้เวลาด้วยกันนานเท่าไหร่เขามีแต่เรื่องที่ทำให้ชอบพ่อหนุ่มที่ยังไง้ยังไงก็ไม่ยอมใจอ่อนบอกชื่อคนนี้ให้เขาทราบซะที
“เอ่อ ผมต้องไปแล้วจริงๆนะครับ
จะเที่ยงคืนแล้ว” คนตัวสูงหันมาบอก ล่ามเอาไว้ได้ไหม
ถ้าเขาปิดตึกนี้เขาจะโดนข้อหาลักพาตัวหรือเปล่า
หนุ่มตาฟ้าตั้งใจหันไปคว้าผ้าพันคอที่วางไว้บนโต๊ะแต่เขาเร็วกว่า
โทนี่เก็บผ้าพันคอมากอดเอาไว้ เป็นโจรขโมยผ้าพันคอคงร้ายแรงน้อยกว่าลักพาตัวล่ะนะ
“ตกลงนายชื่ออะไร จะไม่บอกฉันจริงๆหรือ”
ริมฝีปากสีชมพูเม้มเข้าหากัน
เจ้าของลังเลก่อนจะขยับปากตอบ “คุณไม่ได้อยากรู้ชื่อผมจริงๆหรอก
คุณไม่ได้ชอบผมหรอก มันก็แค่เหตุการณ์พาไปเท่านั้นแหละครับคุณสตาร์ค”
“เป็นเพราะฉันคือโทนี่
สตาร์คใช่ไหม” โทนี่ถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เปล่าซะหน่อย ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย
เพราะผมรู้ว่าผมน่ะ....ผม...ผมจริงๆน่ะไม่ใช่สเป็คคุณหรอก”
“ฉันไม่ใช่สเป็คนายหรือนายไม่ใช่สเป็คฉันกันแน่
นี่ถ้านายไม่บอกชื่อ
ไม่ลองออกเดทกันจะรู้แน่ได้ไงล่ะว่าเราเป็นสเป็คของกันและกันรึเปล่า”
“แล้วบอกเลยสเป็คฉันคือคนที่คุยกับจาร์วิสรู้เรื่อง”
คนตรงข้ามเขาไม่ตอบแต่ก้มหน้าพึมพำอะไรเบาๆ
ที่เขาได้ยินแว่วๆ “ไม่ใช่แค่นั้นซะหน่อย”
“เดี๋ยวคุณก็จะได้เจออีกสเป็คคุณน่ะ
ผมไม่ใช่หรอก แล้วขอผ้าพันคอคืนด้วยนะครับ ผมมีผืนเดียว”
แคปมองเขาพร้อมกับยื่นมือออกไปขอผ้าพันคอ แต่เพราะโทนี่คือโทนี่ แล้วเขาเป็นพวกรับคำปฏิเสธง่ายๆไม่เป็นนะ
รู้หรอกว่าตอนนี้เข้าใกล้คำว่าคนขี้ตื้อจนน่ารำคาญเข้าไปแล้ว
แต่คนตรงหน้าถูกใจเขาจริงๆนี่
เขาถึงคิดยังไงก็ไม่รู้ที่ดึงข้อมือคนตรงหน้าเข้าหาตัว
และเพราะหนุ่มผมทองอาจจะไม่ได้เตรียมตัว ร่างสูงนั้นถึงเซเข้าหาเขาง่ายๆ
โทนี่เงยหน้ามองดวงตาคู่สวยสีฟ้าที่มองเขาอย่างตกใจ
“ถ้าไม่ได้ชื่อ ไม่ได้เบอร์โทร
อย่างน้อยฉันจะได้จูบลาไหม” โทนี่ถาม อ่อยไม่ได้ผล ก็ต้องจูบนี้แหละ โทนี่มั่นใจ 100% ว่าเขาจูบเก่ง
เฮ้ยอย่างน้อยๆถ้าทั้งชื่อเสียง หน้าตา คารม นิสัยของเขาอาจจะไม่น่าสนใจพอ
แต่ความสามารถในการใช้ปากและลิ้นของเขาอาจจะทำให้อีกคนสนใจขึ้นมาบ้างก็ได้
คนที่อยู่ในอ้อมแขนเขาผงะ
เหมือนจะวิ่งหนี แต่เขาก็เห็นแววตาลังเลในดวงตาคู่นั้น เฮ้
แสดงว่าเขายังไม่หมดหวัง
ถ้าคนตรงหน้าลังเลว่าควรจะจูบเขาดีไหมก็ต้องหมายความว่าต้องดึงดูดอะไรกันบ้างสิ
ฟันขาวกันลงบนริมฝีปากของตัวเอง
เห็นแล้วโทนี่อยากจะแทนที่ฟันนั้นด้วยฟันของตัวเองซะเหลือเกิน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไร เสียงนาฬิกาก็ตีบอกเวลาเที่ยงคืน
พร้อมกับไฟในห้องแลบดับลง
โทนี่กำลังจะตะโกนโวยวายเพราะนี่มีไฟสำรองที่ไม่ควรจะดับได้
แต่เสียงของเขาก็ถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากนุ่มร้อนทาบทับลงบนริมฝีปากของเขา
พร้อมกับแขนแข็งแกร่งกระชับตัวเขาขณะที่มืออีกข้างของเจ้าตัวประคองใบหน้าเขาไว้
...จูบ...จูบสิโทนี่อย่าหยุดหายใจ...โทนี่ต้องเตือนตัวเอง
ก่อนจะปล่อยผ้าพันคอลงกับพื้นแล้วใช้มือทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดคอร่างสูง
พร้อมกับใช้ลิ้นเลียที่ริมฝีปากอีกคนเบาๆ
กระตุ้นให้เปิดก่อนจะสอดใส่ลิ้นเข้าไปในโพรงปาก
เสียงครางอย่างพึงใจของคนที่เขาจูบทำให้โทนี่ร้อนไปทั้งตัว
เดี๋ยวนะเขาควรจะเป็นคนที่จูบเก่งสิ
แต่ทำไมเขากลับรู้สึกเหมือนกำลังละลายเป็นขี้ผึ้งอย่างนี้
เสียงนาฬิกายังคงตีบอกเวลาเที่ยงคืน ตอนที่เขาได้ยินเสียงอุ๊บเบาๆ
พร้อมกับเหมือนร่างตรงหน้าเขาอันตรธานหายไป แขนของเขาไขว่คว้าอากาศ
เขารู้สึกถึงร่างอุ่นๆ วิ่งเบียดผ่านเขา โทนี่เหยียดแขนตั้งใจจะดึงรั้งอีกคนเอาไว้
แต่เขาก็ช้าเกินไป ทันทีที่เสียงนาฬิกาเงียบลงพร้อมกับเสียงประตูปิด
ไฟในห้องแลบก็กลับมาสว่างอีกครั้ง โทนี่หันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็อยากไล่ตามอีกคน
แต่เสียงไซเรนดังไม่หยุดในห้องแลบบอกให้เขารู้ว่าโปรเจ็คเขากำลังเจอปัญหาใหญ่
แน่ล่ะระบบที่ไม่ควรจะล่มเพราะไฟตก กลับเจอไฟดับเสียนี่
และถึงเขาจะออกแบบให้สมดุลแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ออกแบบให้ทั้งระบบปฏิบัติการคู่ขนานทั้งคู่ไม่มีไฟฟ้าหล่อเลี้ยงขนาดนี้
“เวรเอ้ย”
เขาสบถพร้อมกับก้มลงหยิบผ้าพันคอยาวที่อีกคนทำตกไว้
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าปลายข้างหนึ่งปักรูปตัวอักษร S เอาไว้
ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้แล้ว ในเมื่อโปรเจ็คเขาเป็นเรื่องใหญ่กว่า
โทนี่วางผ้าพันคอเอาไว้ที่โต๊ะแล้วรีบหันกลับมาเช็คระบบ เอาล่ะทีละอย่าง
####
But here's my number, so call me maybe
โทนี่เงยหน้ามองตึกสี่เหลี่ยมเหมือนกล่องตรงหน้า
หน้าต่างกระจกใสเรียงเป็นแถวเพื่อให้แสงสว่างส่องเข้าไปในตึกได้
รวมถึงเพื่อให้คนในตึกนั้นมองออกไปเห็นวิวของแม่น้ำชาร์ลริเวอร์ที่งดงามได้
และบนยอดตึกประดับด้วยหินอ่อนสีชมพูที่สลักชื่อของตึกเหมือนกล่องนี้เอาไว้
โทนี่อ่านชื่อที่เขาเห็นเป็นรอบที่ล้านตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่
ไม่เคยมีสักครั้งที่อ่านแล้วใจเต้นตูมตามเหมือนครั้งนี้ Charles Hayden Memorial Library หรือที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยเรียกสั้นๆว่าห้องสมุดฮาร์เดน
ชายหนุ่มสูดหายใจแล้วผลักประตูแก้วใสเข้าไป
สิ่งแรกที่ทักทายเขาเหมือนเคยคือเหล่านักเรียนเอ็มไอทีทั้งหลายที่ดูเหมือนอดหลับอดนอนมาสักสามชาติ
เป็นเรื่องปกติสำหรับสัปดาห์ใกล้สอบปลายภาคแบบนี้
เพราะห้องสมุดฮาร์เดนเป็นห้องสมุดใหญ่ที่นักเรียนปริญญาตรีทั้งหลายมักเลือกมาอ่านหนังสือช่วงใกล้สอบ
เพราะมันกว้างขวาง มีห้องเยอะ
แถวยังมีวิวสวยที่เห็นแล้วทำให้อยากกระโดดตึกน้อยลงแม้ขณะที่ต้องทำความเข้าใจทฤษฎีของไฮเซนเบิร์กและความสัมพันธ์ระหว่างแมตริกที่ไม่มีมิติสิ้นสุดในโลกของควอนตัม
แต่คราวนี้ที่โทนี่มาที่นี่ไม่ใช่เพื่ออ่านหนังสือสอบ…แต่เพื่อตามหาคน
(อีกอย่างคือเด็กปริญญาโทอย่างเขามีห้องเป็นสัดส่วนไม่ต้องมาตบตีแย่งชิงที่นั่งกับเด็กปริญญาตรีพวกนี้ด้วย)
ชายหนุ่มก้าวยาวๆ
ผ่านเด็กปีหนึ่งหน้าตาเหมือนซอมบี้ตรงไปที่โต๊ะไม้สีอ่อนที่มีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดกำลังง่วนเก็บหนังสือที่มีคนเอามาคืนอยู่
“เอ่อ ขอโทษครับ”
โทนี่กระแอมเบาๆเรียกความสนใจจากเจ้าหน้าที่ที่ดูท่าจะโดนหนังสือทับมากกว่ายกหนังสือทั้งหมดนั้นไหว
เขาเห็นชายหนุ่มผมทองนั้นหลายครั้ง
เคยคุยด้วยซ้ำสองสามครั้งเมื่อต้องหาหนังสืออ้างอิงเพื่อเขียนเรียงความวิชาสามัญทั้งหลาย
ทุกครั้งเขาต้องสะกดปากตัวเองไม่ให้ถามออกไปว่านายไม่ได้อยู่ไฮสกูลจริงๆใช่ไหม
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็นึกชื่อของอีกคนไม่ออก
โทนี่ห่วยสุดๆในการจำชื่อจริงๆของคนอื่น
แต่ถ้าเป็นชื่อที่เขาตั้งให้ล่ะก็เขาจำได้แม่นเชียวล่ะ
ชายหนุ่มผมทองรีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกับปล่อยเท็กซ์บุ๊กหนักลงพื้นดังตุ๊บ
แล้วเหมือนเป็นโดมิโนเพราะมันดันไปกระแทกกับกองหนังสือที่เจ้าตัวอุตส่าห์เรียงจนทั้งกองล้มลงมาเหมือนปราสาททราย
เสียงสะท้อนดังไปทั่วหน้าสมุดเงียบๆ
โทนี่หันหลังกลับไปมองโซนอ่านหนังสือที่ตอนนี้ทุกคนกำลังชะเง้อหน้ามามองว่าเกิดอะไรขึ้นที่หน้าทางเข้า
เป็นเขาคงต้องอายแทบมุดดินแน่ๆ อืมมหรืออาจจะไม่
เอาเป็นว่าถ้าเป็นคนปกติคงอายแทบมุดดินแน่ๆ
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดเมื่อเขาหันกลับมาคนที่ยืนอยู่หลังเค้าท์เตอร์ก็หน้าแดงจัด
ถึงจะพยายามก้มหน้างุดๆเก็บหนังสือที่พื้นไม่เงยหน้ามามองเขาก็เถอะ แต่ทั้งหูทั้งหลังคอแดงขนาดนั้น
แก้มคงไม่ต้องพูดถึง ป่านนี้ลุกเป็นไฟยังก็ไม่รู้
“เอ่อ คุณครับ”
โทนี่ชะโงกหน้าผ่านเค้าท์เตอร์มองไปที่พนักงานห้องสมุด
ที่ดูท่าทางจะไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเร็วๆนี้แน่
เขาตัดสินใจไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ โทนี่กระโดดขึ้นไปบนเค้าท์เตอร์เตี้ยๆนั่นแล้วไถลก้นลงมาอีกด้าน
ลงมาหยุดที่ฝั่งที่เขาไม่ควรจะเข้ามา แต่เขามีเจตนาดีนะ
เขาตั้งใจมาช่วยเก็บหนังสือที่ดูท่าหากปล่อยให้คนเก็บทำต่อไป อาจจะเกิดโศกนาฏกรรม
ในห้องสมุดขึ้นมาได้
“เข้ามาไม่ได้นะคุณ” พนักงานผมทองรีบเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขา
ก่อนจะหน้าแดงแจ๊ดแล้วก้มลงไปมองหนังสืออีกครั้ง
“โคลสันไม่อยู่เขาไม่ดุคุณหรอก แล้วนี่ผมเข้ามาช่วยนะ”
พูดจบก็แย่งหนังสือออกจากมืออีกคนแล้วซ้อนเป็นตั้งก่อนจะยกขึ้นไปวางบนรถเข็นใกล้ๆ
“เห็นไหมไม่ได้มาร้าย” โทนี่ยิ้มเผล่ แต่แทนที่ฝั่งตรงข้ามจะยิ้มกลับ
สิ่งที่ส่งคืนมากลับเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดชวนให้เขาสงสัยว่าโคลสันเลือกพนักงานที่นี่โดยดูว่าสามารถทำหน้าดุได้ขนาดไหนรึเปล่า
แต่ถึงจะตั้งใจทำหน้าดุขนาดไหนแต่เมื่ออยู่บนร่างเล็กๆนั่นดูยังไงก็ไม่น่ากลัวสักนิด
กลับทำให้เขาคิดถึงหมาปั๊กหรืออะไรสักอย่าง ชวนอยากให้เข้าไปขยี้หัวแน่ะ
“เอาล่ะ..สตีเฟ่น โรเจอร์ส…”
โทนี่อ่านชื่อจากป้ายเล็กๆบนหน้าอกอีกคน “ผมโทนี่ สตาร์ค
ปีสองปริญญาโทแผนกวิศวกรรมเครื่องกล แล้วผมมาตามหาคน”
โทนี่พูดพร้อมยกบัตรประจำตัวนักเรียนขึ้นแสดงยืนยันตัวตน
คนตรงหน้าถอนหายใจเหมือนโล่งอกอะไรเสียเต็มประดา
โทนี่เลิกคิ้วขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรต่อ เขาพูดธุระของตัวเองต่อไป “ผู้ชาย
ตัวสูงๆ ผมทอง…เฉดเดียวกับคุณนี่เลย” โทนี่เสริมต่อ “หุ่นแบบนักกีฬาว่ายน้ำ
ยิ้มสวยๆ อ้อ เขาบอกเขาทำงานที่ห้องสมุดนี้ คุณรู้จักไหม”
หนุ่มชื่อ สตีเฟ่น โรเจอร์ส รีบส่ายหน้ารัว
“ไม่เคยเห็นคนที่คุณพูดถึงเลย แล้วก็ออกไปจากตรงนี้ด้วยครับคุณสตาร์ค
นักเรียนไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาในโซนนี้”
“ไม่เอาน่าโรเจอร์ส เรารู้จักกันไม่ใช่รึไง”
เมื่อเห็นอีกคนหรี่ตาดูเขาอย่างไม่ไว้ใจ โทนี่ก็รีบอธิบายต่อ “พวกเราเคยคุยกันนะ
ผมเคยมาถามคุณเกี่ยวกับหนังสือ คุณก็อธิบายซะดิบดี”
“ไม่คิดว่าจะจำได้ด้วย” เสียงโรเจอร์สพึมพำเบาๆ
ก่อนจะเงยหน้าตอบโทนี่ด้วยเสียงปกติ “ที่ห้องสมุดนี้มีพนักงานแค่สามคน ผม
เจ้าหน้าที่บาร์นส แล้วก็บรรณารักษ์โคลสัน
ไม่มีใครมีลักษณะอย่างที่คุณเล่าให้ฟังเลยครับ แล้วก็ออกไปได้แล้ว
ผมต้องเอาหนังสือไปเก็บ”
โทนี่เดินไปจับหูรถเข็น
แล้วเริ่มต้นเดินไปที่ประตูทางเชื่อมที่จะเปิดออกไปลิฟต์ในห้องสมุด
“ก็นี่ไงกำลังจะออกไปแล้ว คุณก็มาด้วยกันสิ” รู้หรอกว่าเขากำลังกวนอีกคนอยู่
แต่เฮ้เห็นแล้วสงสารหมอนี่ชะมัด ทิ้งไว้คนเดียวเดี๋ยวก็โดนหนังสือทับตายหรอก
อีกอย่างเขายังสอบปากคำไม่เสร็จ โคลสันน่ะไม่ใช่อเมริกาของเขาแน่นอน
แต่ว่าบาร์นสเนี่ยมีโอกาสเป็นไปได้นะ ถึงนายโรเจอร์สจะบอกว่าไม่ใช่ก็เถอะ
แล้วพอเห็นโทนี่เดินหนุ่มผมทองก็ต้องรีบก้าวตามเขาทันที
เขาปัดป้องมือของอีกคนที่หมายจะดึงรถเข็นจากเขา “เฮ้ นี่ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะ
เป็นแรงงานฟรีไม่ดีรึไง กดลิฟต์สิว่าคุณต้องไปชั้นไหน”
โรเจอร์สอ้าปากเหมือนจะเถียงก่อนจะทำปากคว่ำแล้วกดชั้นบนสุด
อะไรสักอย่างในท่าทางนั้นทำให้เขาคิดถึงอเมริกา ต้องเป็นเพราะสีผมแน่ๆ
เมื่ออยู่ในลิฟต์กันสองคนโทนี่ก็ถามต่อ
“เจ้าหน้าที่บาร์นสนี่ใคร”
“ไม่ใช่คนที่คุณตามหาหรอก” คนพูดตอบอย่างปัดๆ “บัคกี้ผมดำ”
“เป็นไปได้ไหมที่เขาจะใส่วิกเวลาเจอหน้าคุณ”
โรเจอร์สหลุดหัวเราะแล้วหันมามองเขาเหมือนจะถามว่านี่คุณเพิ่งพูดอะไรอย่างนี้ออกมาจริงๆเหรอ
เฮ้ เขาต้องคิดถึงทุกทางเลือกสิ ร่างเล็กส่ายหน้า ใบหน้ายังคงติดยิ้ม
ก่อนที่เจ้าตัวจะนึกได้แล้วรีบกลับมาทำเป็นขรึม
“เขาผมดำ ไม่ได้ใส่วิกด้วยเชื่อผมเถอะ” ลิฟต์เปิดออกพอดี
โทนี่เข็นรถเข็นไปตามทางเดิน โดยมีโรเจอร์สชี้ทาง
“เป็นไปได้ไหมที่คนที่ผมตามหาจะเป็นนักศึกษาฝึกงาน
ต้องมีอยู่แล้วใช่ไหมพวกเด็กๆที่มาทำงานที่นี่น่ะ”
ร่างโปร่งที่กำลังหยิบสันหนังสือมาอ่านเลขถอนหายใจแล้วหยุดมองหน้าเขา
“มีนักศึกษาฝึกงาน แต่ไม่มีหรอกคนที่คุณตามหา”
“รู้ได้ไง คุณเจอทุกคนรึไง”
“รู้ก็แล้วกัน
แล้วคนที่คุณตามหาเนี่ยสำคัญมากนักรึไง…เขา…เขาไปติดหนี้อะไรคุณไว้เหรอ”
โรเจอร์สถามเสียงเรียบๆ และโทนี่คงหลงเชื่อถ้าไม่เห็นว่าเจ้าตัวน่ะถามแล้วเหลือบมองเขาอย่างตั้งใจเหมือนกำลังรอฟังคำตอบเขาชัดๆอย่างนั้น
“อ้อเขาติดหนี้ผมด้วย หนี้ก้อนใหญ่เลยด้วย” โทนี่นึกถึงเรื่องเมื่อสองคืนก่อนที่ทำเอาเขาต้องนั่งสงบจิตสงบใจอยู่ชาติสองชาติกว่าจะกลับมาทำงานในแลบได้อีกครั้ง
แถมยังทำได้อย่างไม่สงบอีกแน่ะ เป็นตั้งสองวันมาแล้วด้วย เขากำลังจะลงแดงอยู่แล้ว
“คุณพูดอย่างกับว่าเขาไปยืมเงินคุณแล้วไม่คืนน่ะ
ไม่ใช่ซะหน่อย” คนตัวเล็กหันมาโวยวายใส่เขา
จนทำให้โทนี่งงเล็กๆว่าหมอนี่ทำไมอยู่ดีๆก็ฉุนขึ้นมาได้เนี่ย
“เอาเป็นว่าเขาสำคัญสำหรับผมก็แล้วกัน ตกลงคุณคิดว่าไง
นักศึกษาฝึกงาน—”
“ไม่มี คุณจิตหลอนสร้างเขาขึ้นมาเองรึเปล่า
พวกนักศึกษาปริญญาโทบ้าไปก็เยอะนะ ผมว่าคุณอย่า--”
“คุณยังไม่ได้พยายามนึกเลยนะ” โทนี่แทรกขึ้นมา
ก็โรเจอร์สน่ะเอาแต่พูดว่าไม่ ไม่ ไม่ ฟังไปนานๆมันก็ฉุนนะ คนกำลังร้อนใจอยู่ “นี่คุณเขาสำคัญกับผมมากจริงๆนะ”
โทนี่เดินไปดักหน้าคนตัวเล็กไม่ให้เดินต่อ
“คุณเคยเจอไหมคนที่ไม่ว่าจะทำยังไง๊ยังไงก็ไม่ยอมหลุดไปจากหัวคุณน่ะ
นี่ผมคิดเรื่องคนที่ผมตามหาไม่หยุดมาสองวันแล้วนะ—“
“แค่สองวันเอง ถ้าสักสองปีค่อยมาพูด”
หนุ่มผมทองทำหน้าคว่ำพูดเบาๆ คิดว่าเขาไม่ได้ยินรึไงห๋า
“ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขียนโค้ดก็วนไปวนมา ลูปไม่เบรก
แล้วเนี่ยดูสิ ผมไร้สติขนาดบัดกรีมือตัวเอง”
โทนี่ยกมือข้างซ้ายที่โดนปืนบัดกรีให้ดู “นี่คุณสงสารกันเหอะ ช่วยหน่อยเหอะโรเจอร์ส
ถ้าระบบของห้องสมุดไม่ได้คร่ำครึขนาดยังใช้กระดาษออฟไลน์เนี่ย ผมแฮคหาไปหานานแล้ว
แล้วอาจารย์ก็ขู่เอาไว้ว่าถ้าผมเจาะฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยอีกครั้งผมได้เปลี่ยนโรงเรียนแน่”
“เกือบละ ผมเกือบจะใจอ่อนแล้ว
แต่คุณต้องมาพูดอะไรอย่างการทำผิดกฎหมาย” คนตัวเล็กถอนหายใจแล้วทำหน้าเซ็งใส่เขา
ขอโทษทีที่ปากเขาไม่มีหูรูด เข้าใจไหมพอพูดอะไรแล้วอยู่ดีๆปากมันจะไปต่อเองน่ะ
เขาก็ไม่ได้ตั้งใจสารภาพหรอกน่า
“แล้วถ้าเขาสำคัญขนาดนั้นคุณก็น่าจะถามชื่อเขาเอาไว้สิ”
“โธ่ผมก็ถามแล้วถามอีก เขาไม่ยอมบอกผมเลยน่ะสิ”
โทนี่โอดครวญ
“มันอาจจะมีสาเหตก็ได้
อย่างเขาอาจจะไม่อยากเจอคุณอีกครั้งอะไรแบบนี้ เคยคิดบ้างไหมคุณสตาร์ค” โรเจอร์สเดินอ้อมตัวเขาแล้วมาผลักรถเข็นไปเอง
เห็นแล้วโทนี่ต้องกลอกตาหันหลังมาช่วยอีกคน
เพราะท่าผลักของหมอนี่เห็นแล้วสงสารชะมัด พวกเขาเดินไปตามทางระหว่างชั้นหนังสือ
โทนี่ถอนหายใจมองตามคนพูด ก็คิดอยู่หรอก
แต่จูบนั่น...จูบนั่นไม่ใช่จูบที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักนิดแน่ๆ
โทนี่มั่นใจเอาดัมมี่เป็นประกันได้เลย
“ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันคือเหตุผลที่ผิด
เขาคงคิดว่าผมเป็นเพลย์บอยเสือผู้หญิงอะไรแบบนี้แน่ๆ”
คนที่กำลังแขย่งเพื่อเก็บหนังสือขึ้นชั้นบน หันมามองเขา
ตาสีฟ้ากวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ใครจะไปคิด
คุณน่ะแต่งงานกับหนังสือแล้วก็แลบใครๆก็รู้”
โทนี่อ้าปากค้าง โอเค นี่คนที่สองที่พูดอย่างนี้
นี่เขามีชื่อเสียงในด้านเนิร์ดอย่างลับๆที่เขาไม่รู้รึเปล่า
แล้วเป็นสองคนที่เขาไม่ได้รู้จักมักจี่มาก่อนด้วย
แต่กลับพูดถึงเขาได้อย่างถูกต้องมากกว่าคนส่วนใหญ่ที่รู้จักเขาเสียอีก
“เรื่องของเรื่องก็คือ
ผมอยากอธิบายให้เขาเข้าใจว่าผมจริงจังเรื่องชวนเขาเดท” หนังสือในมือของโรเจอร์สหล่นลงพื้นดังพลั่ก
โทนี่เดินเข้าไปจะเก็บให้แต่ก็ช้ากว่าเจ้าตัว ...หน้าแดงอีกแล้ว..
อายเขาเพราะซุ่มซ่ามเหรอ แต่เมื่อเห็นอีกคนหันหลังทำงานเขาก็พูดต่อ
“เพราะฉะนั้นคุณช่วยผมหน่อยนะ ไปดูฐานข้อมูลของโคลสันให้หน่อย นะครับ ได้โปรดเถอะ
คุณเป็นคนเดียวในห้องสมุดที่ใจดีกับผมแล้วนะ”
สตีเฟ่น
โรเจอร์ส ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันมามองเขา มือกอดอก ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “ก็ได้
ผมจะช่วยดูก็ได้ แต่ไม่รับปากนะว่าจะเจอคนที่คุณตามหา”
โทนี่ยิ้มกว้าง
พอมีหวังแล้ว คิดแล้วเขาก็ยื่นมือออกไป “ขอมือถือคุณหน่อยสิ”
คนถูกถามมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“เอาไปทำไม”
“โธ่ นี่คิดว่าผมจะขโมยรึไง
จะให้คุณบันทึกเบอร์ผมไง เผื่อเจอแล้วคุณจะได้โทรตามผม
สอบปลายภาคแบบนี้ผมไม่ได้มาห้องสมุดบ่อยๆหรอก เห็นสภาพเด็กปริญญาตรีแล้วหดหู่ชิป”
โทนี่กระดกมือเหมือนกับเร่ง แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อคนตรงหน้าส่ายหน้าดิก
เขากลอกตาแล้วหยิบมือถือตัวเองออกมาแทน “งั้นบอกเบอร์คุณมาสิ
ผมส่งข้อความไปหาเองก็ได้”
โรเจอร์สทำหน้าลำบากใจชั่วครู่
ก่อนจะถอนใจเหมือนยอมแพ้ แล้วสะกดเลขสิบหลักให้เขา
โทนี่บันทึกทันทีพร้อมกับกดส่งข้อความหา
เสียงโทรศัพท์สั่นจากในกระเป๋าของคนข้างตัวทำให้เขารู้ว่าโรเจอร์สไม่ได้ให้เบอร์เขาส่งเดช
“นี่มีเบอร์ผมแล้วนะ
อย่าลืมรีบบอกผมล่ะถ้าคุณเจอ” โทนี่จับรถเข็นที่ตอนนี่แทบจะว่างเปล่าแล้วออกแรงผลักเบาๆ
“อย่าหวังมากนักเลยคุณ”
โรเจอร์สพูดแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง
You took your time with the call
โทนี่จ้องมองโทรศัพท์มือถือข้างตัวราวกับว่ามันคือผีร้ายที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ยากทั้งปวงของเขา
ซึ่งก็ไม่ได้ผิดซักเท่าไหร่
เขาน่ะเอาแต่เฝ้าโทรศัพท์รอให้มีข้อความหรือโทรศัพท์จากสตีเฟ่น โรเจอร์ส
บรรณารักษ์ห้องสมุด ตามที่เขาบันทึกเอาไว้โทรมา
ข้อความเดียวที่มีในถาดข้อความระหว่างเขากับสตีเฟ่น
โรเจอร์สคือข้อความที่เขาส่งหาเจ้าของชื่อนั้นในวันที่ไปเจอในห้องสมุด โทนี่อยากจะส่งข้อความไปจิกรัวๆ
แต่เพราะยังต้องพึ่งคนตัวเล็กอีกนานก็เลยยั้งๆใจเอาไว้
แต่นี่ผ่านไปหลายวันแล้วนะ...ถ้าจะจิกตอนนี้ก็ไม่น่าเกลียดมากใช่ไหม
โทนี่ถามเองตอบเองได้คำตอบที่พอใจเองด้วยแล้วก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์สีดำขึ้นมาสแกนลายนิ้วมือแล้วกดพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว
Tony: เฮ้ นี่โทนี่นะ
จำได้ไหมพวก
Tony: คุณเงียบไปเลย
ตกลงว่าไง คุณยุ่งอยู่เหรอ ไม่ยุ่งหรอกมั้ง นี่สัปดาห์สอบก็เสร็จแล้ว
Steven Rogers, the librarian: ตกลงจะให้ผมตอบไหม
Steven Rogers, the librarian: ยุ่ง
Tony: ยุ่งเหรอ
แต่ยุ่งแล้วคุณได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับพนักงานที่ดูท่าน่าจะเป็นหนุ่มหล่อ ผมทอง
ตาฟ้า หุ่นล่ำ อย่างกับเฮอร์คิวลิสกลับชาติมาเกิดให้ผมปะ
แบบว่าคนเราทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันได้นะ
Steven Rogers, the librarian: ไม่สอบรึไงคุณน่ะ ยังมีอารมณ์คิดถึงผู้ชายนะ
โทนี่ขมวดคิ้วมองประโยคสุดท้ายที่อีกคนส่งกลับมาแล้วรู้สึกเหมือนโดนพ่อดุยังไงชอบกล
เฮ้ย เขาไม่ได้ไม่ตั้งใจเรียนนะ แต่อย่างที่บอกว่าคนเราทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันได้
เขาสามารถน้ำลายหกคิดถึงหนุ่มหล่อผมทองจูบเก่ง
แล้วก็ปั่นบทความตอบคำถามหมื่นคำได้ง่ายๆ
อีกอย่างพวกปริญญาโทอย่างเขาแทบไม่มีสอบแล้ว มีแค่ต้องเขียนงานวิจัยตีพิมพ์หรือไม่ก็ทำโปรเจคให้เสร็จ
เรื่องงานวิจัยตีพิมพ์น่ะเขามีอยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่เขาชอบมากว่าบอกให้คนรู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะ
คือแสดงให้โลกรู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะโดยการเขียนอะไรที่อ่านแล้วต้องทึ่ง
Tony: มีคนบอกคุณไหมว่าคุยกับคุณแล้วนึกถึงเวลาคุยกับคุณปู่
โทนี่มองหน้าจอที่บอกว่าอีกฝ่ายน่ะเห็นข้อความเขาแล้ว
แต่ก็ไม่ส่งอะไรกลับมา เป็นอีกครั้งที่โทนี่ส่งตาเขียวให้กับโทรศัพท์ของตัวเอง
ฮึ่ย รอให้พรุ่งนี้พ้นเดทไลน์ส่งบทความสอบไล่ก่อนเหอะ จะไปหาถึงห้องสมุดเลย
เขาย่นจมูกใส่โทรศัพท์ตัวเองเหมือนว่ามันเป็นตัวแทนของหนุ่มผมทองตัวเล็กนั่น
I took no time with the fall
โทนี่ห่อตัวในเสื้อโค้ทหนาตามด้วยผ้าพันคออีกชั้นอากาศหนาวขึ้นทุกวัน
ทำไมแคมบริดจ์มันต้องหนาวอย่างนี้วะ! แต่จะไปโทษใครได้
เขามีโอกาสบินไปหลบอากาศหนาวที่บ้านตากอากาศในมาลิบูแต่ว่า...เขาต้องเจอหน้าครอบครัวน่ะสิ
อากาศจะอุ่นแค่ไหนก็ไม่คุ้มหรอก
ฟังพ่อบ่นหูชาเรื่องให้กลับมาทำงานที่บริษัทได้แล้วแย่ซะยิ่งกว่าหูชาจากอากาศหน้าหนาวริมแม่น้ำชาร์ลก็แล้วกัน
เขารีบเดินเร็วๆ
เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์สอบ
นักเรียนส่วนใหญ่จะสอบเสร็จและแยกย้ายกลับบ้านกันแล้ว
หรือไม่ก็ขนของใส่รถแล้วเดินทางกลับบ้าน
แคมบริดจ์คงเงียบไปโขเมื่อทั้งนักเรียนเอ็มไอทีแล้วก็ฮาร์วาร์ดกลับบ้านไป...แล้วก็น่ากลัวจะโดนปล้นอีกด้วย
คิดแล้วโทนี่ก็รีบเร่งฝีเท้าจนมาถึงห้องสมุดฮาร์เดนจุดหมายของเขา
ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย แล้วก็ต้องยิ้มออกเมื่อเห็นกลุ่มผมสีทองก้มๆเงยๆที่เคาท์เตอร์บรรณารักษ์
ก็เขาไม่ได้เชคนี่ว่าโรเจอร์สเข้ากะไหน การได้เจออย่างนี้ต้องถือเป็นโชคดีสุดๆ
เขาใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะไม้ดังๆเรียกความสนใจจากคนหลังเคาท์เตอร์สูงนั่น
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมาแล้วก็ถอนหายใจกลอกตาทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ไม่มี เลิกมาถามหาได้แล้วคุณ”
“ถามจริง นี่คุณได้หาดูรึยัง
ลองให้ผมบรรยายให้ฟังอีกทีไหมว่าเขาหน้าตายังไง เผื่อพลาด”
คนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ทำหน้าเซ็ง
“ไม่มีครับ ไม่ได้พลาดแน่นอน เสียใจด้วยนะครับคุณสตาร์ค
แล้วถ้าไม่มีธุระก็กลับไปได้แล้ว ผมก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”
พูดจบโรเจอร์สก็คีย์ข้อมูลก๊อกแก๊กลงในคอมพิวเตอร์ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันไปหยิบเสื้อฮูดดี้กับเสื้อโค้ทที่พาดไว้ข้างหลังขึ้นมา
เมื่อเจ้าตัวหันกลับมาอีกครั้งแล้วยังเห็นเขายืนอยู่ที่เดิมคิ้วข้างหนึ่งของเจ้าตัวก็เลิกขึ้น
“หรือว่าคุณจะมีอะไรให้ผมช่วย...เอ่อเกี่ยวกับห้องสมุดน่ะ” โทนี่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่ลืมล่ะสิว่าตัวเองเป็นบรรณารักษ์
แต่เสียดายที่เขาไม่ได้มีธุระอะไร
โดยเฉพาะกับห้องสมุดของสายสังคมอย่างห้องสมุดฮาร์เดน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหยุดเขาได้หรอกนะ เพราะ...เพราะเห็นคนที่ทำหน้าเซ็งใส่เขาตลอดทำหน้าจ๋อยๆแบบนี้แล้วรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาน่ะสิ
“ถ้ามีล่ะ
ผมอยากให้คุณช่วยหาข้อมูลให้หน่อย”
ดวงตาคู่โตสีฟ้าหรี่มองเขาอย่างพิจารณา
ก่อนจะที่คนตัวเล็กจะพูดออกมาช้าๆ “งั้นก็รอสักห้านาทีละกัน
เดี๋ยวเจ้าหน้าที่บาร์นจะเข้ากะแล้ว หรือไม่ถ้ารอไม่ได้เดี๋ยวผมจะเรียกคุณโคลสันออกมาให้ช่วยคุณ”
พอได้ยินดังนั้นโทนี่ก็หุบยิ้มแล้วกอดอก
เรียกบรรณารักษ์โคลสันออกมาเลยเหรอ เขายังไม่อยากโดนขึ้นบัญชีหนังหมาหรอกนะ
“พูดเล่นเว้ย คุณเนี่ยไม่เนี่ยไม่มีอารมณ์ขันเลยนะ
เห็นอยากรีบเลิกงานผมก็เลยพูดแหย่หน่อยเดียวเอง”
หนุ่มผมทองหันมาแยกเขี้ยวใส่เขา
“อยากเลิกสิ ผมเข้ากะดึกมาตั้งหลายสัปดาห์จนร่างกายรวนไปหมดแล้ว
นี่ก็ง่วงจนแทบจะหลับได้ ผมอยากได้อะไรร้อนๆแล้วก็ไปนอนให้เต็มอิ่ม
ดีใจชะมัดสัปดาห์สอบไล่จบซะที ห้องสมุดจะได้เปิดปิดตามเวลาปกติ”
โทนี่กระพริบตาปริบๆ
ไม่คิดว่าโรเจอร์สจะหันมาบ่นเป็นหมีกินผึ้งใส่เขาขนาดนี้
เวลาง่วงแล้วเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยแฮะ ปกติเห็นแต่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ซะเหลือเกิน
แต่ตอนนี้กลับง้องแง้งงอแงเหมือนเด็กๆ กอปรกับตัวเล็กๆตาโตๆแล้วก็หน้าเด็กๆ
ชวนให้คิดว่าเป็นเด็กไฮสกูลมากกว่าเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย เห็นแล้วคันไม้คันมืออยากยื่นออกไปขยี้ผมคนที่ยังทำหน้างอปากยื่นเลย
“ดี งั้นไปด้วยกัน
ผมก็ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย” ทันทีที่เขาพูดจบ
เสียงประท้วงจากคนที่หัวยังอยู่ใต้เสื้อฮู้ดดี้ก็ดังขึ้น โรเจอร์สรีบดันศีรษะออกมาทางคอเสื้อ
ผมสีทองที่หวีเรียบตอนนี้ยุ่งเหยิงจากการสวมเสื้อ
“ผมไม่ได้ชวนซะหน่อย”
“เอ้า งั้นผมชวนคุณก็ได้
ผมจะไปทานอาหารเช้า ไปด้วยกันไหม ให้ผมเดินไปเป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน
วันนี้เด็กนักเรียนกลับกันหมดแล้ว คุณก็รู้รอบๆนี้น่ากลัวขนาดไหน”
แก้มใสขึ้นสี พร้อมกับคนตัวเล็กเขย่งเท้าขึ้นมา
คงตั้งใจจะจ้องหน้าเขาแบบดุๆ แต่ยังไง้ยังไงก็ไม่ถึงระดับสายตาอยู่ดี “นี่! คิดว่าผมดูแลตัวเองไม่ได้รึไง
คนที่จะโดนปล้นก็คุณนั้นแหละ ระหว่างคุณกับผมใครดูมีเงินมากกว่ากัน”
โทนี่ส่ายหน้า “เออๆ
งั้นคิดว่าคุณเดินไปปกป้องไม่ให้ผมโดนปล้นก็แล้วกัน แล้วรีบเดินได้แล้วผมหิว”
พูดจบก็รุนหลังคนที่กำลังติดกระดุมเสื้อโค้ทให้ออกเดิน
โรเจอร์สยังประท้วงไม่หยุดแต่ก็ก้าวเท้าไปง่ายๆ
โทนี่สับขาเร็วๆ
เดินไปตามถนนที่ทอดไปสู่จตุรัสเคนดัล
ในมหาวิทยาลัยไม่ได้มีการประดับประดาอะไรที่เกี่ยวกับเทศกาลเพราะเมื่อถึงวันหยุดก็ไม่มีนักเรียนอยู่ที่นี่อยู่ดี
ยกเว้นเสียแต่พวกนักเรียนปริญญาโทหรือเอกที่ต้องทำวิจัยหามรุ่งหามค่ำไม่มีวันหยุดอย่างชาวบ้านชาวช่องเขา...ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่เมื่อก้าวพ้นรั้วมหาวิทยาลัยร้านอาหารรอบๆก็เหมือนแข่งกันว่าใครจะใช้สีแดง
เขียว และไฟกระพริบได้ดีกว่ากัน
เสียงเพลงคริสต์มาสดังมาจากทุกร้านที่เดินผ่านจนเขาชักเอียน
ต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก
“เฮ้ย เดินช้าๆสิ
ไล่ควายทำไมไม่ทราบ” เสียงหอบจากข้างตัวทำให้เขาต้องชะลอฝีเท้า
แก้มใสของโรเจอร์สที่โผล่พ้นปกคอโค้ทที่ตลบตั้งขึ้นและไม่ถูกบังโดยฮู้ดของเสื้อเป็นสีชมพูจัด
ไม่รู้จากอากาศหนาวหรือว่าเพราะเขาเหมือนบังคับให้เจ้าตัวต้องแทบวิ่งไล่เขามาหลายบล็อค
“มันหนาว เดินช้าก็แข็งตายสิคุณ”
พูดอย่างนั้นแต่โทนี่ก็ขยับขาให้ช้าลง
เหลือบตามองให้จังหวะเขากับคนข้างตัวไม่ต่างกันมากเกินไป
“กลัวแข็งตายทำไมไม่กลับบ้านหืม
รวยๆอย่างคุณมีบ้านพักตากอากาศอยู่แล้ว”
โทนี่ทำหน้าเบ้ “ผมต้องทำโปรเจ็คให้เสร็จ
แล้วอีกอย่างไม่ค่อยอยากเจอคนที่บ้านด้วย”
ตาสีฟ้าโตเหลือบมองเขา
ก่อนเจ้าของดวงตาจะรีบพยักหน้าแล้วก็ไม่ซักไซ้เขาต่อ ทีตอนนี้ล่ะมารยาทดีเชียว
เมื่อกี้ที่บ่นเขาเป็นชุดล่ะ “แล้วนี่คุณจะเดินไปไหน
คุณเพิ่งเดินผ่านดังกิ้นโดนัทมานะ”
โทนี่หันไปทำหน้าแหยงใส่คนข้างตัว
“นี่คุณเป็นคนแบบไหนกันเนี่ย
อาหารมื้อแรกหลังสอบเสร็จคุณจะให้ผมกินดังกิ้นโดนัทเนี่ยนะ
ขอโทษทีเหอะแต่ผมกระเดือกกาแฟห่วยๆของโรงอาหารเด็กปริญญาโทมาสัปดาห์กว่า
ผมอยากได้อะไรดีๆงามๆมาล้างปากบ้างน่ะ เราจะไปร้านบีนทาวน์ที่จตุรัสเคนดัลกัน
อาหารเช้าของที่นั่นก็ไม่เลวด้วย”
“ผมเป็นคนแบบที่ไม่อยากเสียเงินแปดเหรียญเป็นค่ากาแฟขณะที่จ่ายแค่เหรียญเดียวก็ได้กาแฟเหมือนกันยังไงล่ะ”
“คุณนี่เรื่องเยอะจัง ผมขวนคุณมา
ผมเลี้ยงก็แล้วกัน” โทนี่ตัดบท
แต่แทนที่จะเงียบง่ายๆ
คนข้างตัวเขากลับบ่นขมุบขมิบต่อ “ไม่ต้องให้นักเรียนมาเลี้ยงหรอกน่า”
หนอยนักเรียนเหรอ
พูดอย่างกับเขาเป็นเด็กสิบแปดอย่างนั้นแหละ
แล้วถามหน่อยเดินถนนกันสองคนอย่างนี้น่ะระหว่างเขากับหนุ่มผมทองถ้าถามคนเดินถนนคนอื่น
ใครกันแน่ที่ดูเหมือนเด็กนักเรียน เขาสิจะโดนคิดว่าหลอกเด็กมาเลี้ยงต้อย วุ้ย
คันปากอยากโต้ตอบ
แต่ดูท่าหากเขาพูดออกไปตามที่คิดเขาคงไม่แคล้วได้เดินต่อไปร้านอาหารคนเดียวแน่แน่
แล้วถึงเขาจะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ...แต่เขาก็ไม่อยากทานอาหารตามลำพังหรอกนะ
กินอาหารจากตู้หยอดเหรียญหน้าจอคอมมาสัปดาห์กว่า
แค่มีเพื่อนร่วมโต๊ะเขาก็ดีใจน้ำตาจะไหลแล้ว ถึงแม้ในหัวจะแอบหวังว่าเพื่อนร่วมโต๊ะจะเป็นหนุ่มผมทองอีกคนที่ทำให้เขานอนหลับไปไม่สนิทมาทั้งสัปดาห์
“เออ พูดใหม่ ไม่เลี้ยงๆ
คิดซะนี่เป็นค่าตอบแทนที่คุณอุตส่าห์ช่วยตามหาหนุ่มในฝันของผมก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าอีกคนอ้าปากจะพูด โทนี่ก็รีบชิงพูดต่อ “ไม่ต้องปฏิเสธด้วย ผมไม่ชอบติดบุญคุณใคร
แล้วรีบๆเดินเร็วๆ ผมทั้งหิวทั้งหนาวแล้ว ขาสั้นก็ก้าวให้มันถี่ๆสิ”
“คิดว่าตัวเองสูงมากรึไงห๋า
สูงกว่าฉันหน่อยก็ทำเป็นบอกว่าฉันขาสั้น” โรเจอร์สหันมาส่งตาขวางใส่เขา
แต่ก็ก้าวเร็วขึ้น แล้วก็ไม่ปฏิเสธคำชวนเรื่องที่เขาจะจ่ายค่าอาหารให้ ในที่สุดก็หลอกล่อสำเร็จ
โทนี่ซ่อนยิ้มกับคอเสื้อโค้ท
.
.
.
โทนี่รีบตัดไข่และขนมปังเป็นชิ้นทันทีที่พนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาวางที่โต๊ะ
ก่อนจะรีบส่งเข้าปาก อาหารที่ไม่ใช่จากตู้กดนี่มันรสชาติดีขนาดนี้เลยเหรอ
คิดแล้วน้ำตาแทบจะไหล หลังจากไฟดับเขาก็ต้องปล้ำกู้ทำข้อมูลใหม่ แล้วต้องหาต้นตออีกว่าไฟที่ควรจะมีระบบสำรองมันดับได้ไงวะ
ซึ่งก็หาไม่เจอ เหมือนอยู่ดีๆก็มีคนมาตัดไฟซะงั้น ไฟสำรองก็ดันไม่จ่ายด้วย
เหตุการณ์ที่ทำเอาเขาเกาหัวแกรกๆไปเป็นวัน
แถมยังต้องอยู่หามรุ่งหามค่ำที่แลบอีกด้วย
“คุณชอบร้านนี้จริงๆเลยนะ”
คนตรงข้ามเขาพูดขึ้นมา พร้อมกับยกแก้วกระดาษตรงหน้ามาดูโลโก้
“เคยเห็นคุณถือแก้วกาแฟของร้านนี้ด้วย ก็ว่าจากที่ไหน ไม่เห็นอยู่ในมหาวิทยาลัย”
คราวนี้เป็นโทนี่ที่ต้องเลิกคิ้ว
“โห คุณต้องดวงดีขนาดไหนเนี่ยเจอผมตอนผมได้กาแฟจากร้านนี้
ปกติผมไม่ได้ถ่อมาถึงที่นี่หรอก” โทนี่ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ
“จำไม่เห็นได้เลยว่าถือกาแฟไปห้องสมุด ปกติพวกคุณไม่ยอมให้แก้วกระดาษผ่านไปนี่”
เขาโดนริบถ้วยกาแฟที่เป็นแก้วกระดาษหลายครั้งจนขึ้นใจว่าต้องใส่ขวดน้ำถึงได้รับอนุญาติให้ถือเข้าไปได้
โรเจอร์สก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ
ที่อยู่ดีๆก็ขึ้นสีเหมือนเด็กๆที่โดนจับได้ว่าทำความผิด
ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้โทนี่สงสัยขึ้นไปอีก
“ตกลงคุณไปเห็นผมถือแก้วของร้านนี้ที่ไหน” เขาซักต่อ
“คิดอยู่แล้วต้องจำไม่ได้”
หนุ่มผมทองพูดเบาๆ แต่เพราะพวกเขานั่งห่างกันไม่ถึงสองฟุต
โทนี่เลยได้ยินชัดเต็มสองรูหู
“จำอะไรไม่ได้”
ตาสีฟ้าเงยขึ้นมามองเขา
คิ้วขมวดอีกแล้ว แน่ะโกรธอะไรเขาอีกเล่า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ถามเท่านั้นเอง
“จำไม่ได้ว่าคุณเคยเดินไปส่งผมที่ห้องสมุดจากในเมืองน่ะสิ”
พอได้ยินคำตอบนั่นคราวนี้กลับเป็นโทนี่ที่ต้องขมวดคิ้ว
จำไม่ได้จริงๆ
“วันแรกที่ผมทำงานที่นี่
ผมลงผิดสถานีแล้วเดินหาทางไปห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
คุณคงเดินกลับมาจากที่นี่แล้วเห็นผมเดินวนๆหลงๆก็เลยมาช่วยเดินไปส่งผมถึงห้องสมุด”
โทนี่พยายามนึกตาม
ก่อนจะจำได้แล้วทำตาโต ใช่ ตอนนั้นเช้าตรู่
เขาทะเลาะกับพ่อเรื่องเรียนต่อปริญญาโทเลยเดินไปร้านโปรด
อย่างน้อยกาแฟดีๆก็จะทำให้เขาใจสงบขึ้นบ้าง
แล้วขากลับก็เจอเด็กที่เหมือนเดินหลงอยู่ เขาก็สงสารน่ะสิ
คิดว่าเป็นเด็กมัธยมปลายมาสัมภาษณ์หรือเยี่ยมชม
ใครจะคิดว่าคนที่เขาพาไปห้องสมุดจะเป็นบรรณารักษ์คนใหม่กันเล่า
แต่ทันทีที่ส่งอีกคนโทนี่ก็ลืมไปอย่างรวดเร็ว...อ๋ออย่างนี้เองกระมัง
โรเจอร์สถึงใจดีกับเขาเสียเหลือเกินเวลาที่เขามาถามหาหนังสืออ้างอิงของพวกวิชาสามัญทั้งหลาย
ที่จริงบรรณารักษ์หน้าเด็กคนนี้ใจดีกับเขามาตลอดนั้นแหละจนกระทั่งเร็วๆนี้ที่เขาได้คุยแบบเต็มๆถึงรู้ว่าใต้ใบหน้าเรียบๆ
กับรอยยิ้มน้อยๆนั่น จริงๆอีกคนน่ะช่างบ่นราวกับคนแก่แถมยังปากจัดไม่แพ้เขาอีกด้วย
“คุณก็เลยเป็นแฟนคลับผมล่ะสิ
แหมที่ทำอิดออดไม่อยากช่วยผมหาหนุ่มในฝันของผมเพราะหึงรึเปล่าเนี่ย”
คนฟังอ้าปากค้าง “ใช่ซะที่ไหนเล่า”
พูดเสียงโกรธๆแต่หน้ากลับแดงจัดจนถึงหู
โทนี่หัวเราะร่วน
สนุกที่ได้แหย่คนตรงหน้า สนุกที่ได้คุยกับคนธรรมดา สุดท้ายพวกเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย
โทนี่ชวนอีกคนเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่กีฬายันการเมือง
แล้วก็ยังมาเทียบอีกว่ากาแฟของโรงอาหารไหนในเอ็มไอทีที่พอกินได้บ้าง
เขารู้สึกสนุกจนลืมเวลาไปเลย รู้ตัวว่าสายมากโขก็ตอนเห็นหนุ่มตาฟ้าหาวหวอดๆนี่แหละ
ถึงได้รีบจ่ายเงิน แล้วไปส่งโรเจอร์สขึ้นรถเมล์กลับบ้านไป
ส่วนเขาก็เดินกลับมหาวิทยาลัย พร้อมกับนึกได้ว่าลืมซักเรื่องกัปตันอเมริกาที่ตั้งใจไปเสียสนิท
You gave me nothing at all but you’re still in my way
โทนี่มองออกไปนอกหน้าต่างห้องสมุดแล้วยิ้ม
ห้องสมุดกว้างขนาดนี้แต่กลับแทบไม่มีคนเลย รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าของห้องสมุด
ชายหนุ่มเอนตัวแล้วส่งยิ้มกว้างขึ้นไปกับเพดานสูงของห้องสมุดฮาร์เดน
แต่แล้วก็มีเสียงขัดความสุขของเขา
“ไหนบอกว่าคุณต้องทำโปรเจ็คธีซิสของคุณให้เสร็จไง
แล้วไหงถึงว่างมานั่งที่ห้องสมุดนี่ได้” บรรณารักษ์ผมทองตัวเล็กหอบหนังสือมาฉแลบข้างตัวเขา
โทนี่เงยหน้ามองคนข้างตัว
“สวัสดีโรเจอร์ส ก็ผมเบื่อ อีกอย่างพอไม่มีเด็กปริญญาตรีหน้าตาอยากตายแล้ว
ที่นี่น่านั่งจะตายไป” คู่สนทนาของเขากลอกตาใส่ “แล้วอีกอย่างเมื่อคุณไม่ยอมช่วยผม
ผมก็ต้องมาดูเองสิว่าอะโดนิสผมทองของผมมาทำงานที่นี่บ้างรึเปล่า”
อีกอย่างที่ไม่อยากสารภาพคือเขาเหงาชะมัด
แล้วการมาที่นี่อย่างน้อยก็ยังได้เห็นได้คุยกับบรรณารักษ์ที่ถึงจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทแต่ก็คุยกับเขาได้
โรเจอร์สเม้มปาก
ก่อนจะย่นจมูกใส่เขา “พูดยังกับผู้ชายหน้าตาดีมีคนเดียวทั้งมหาวิทยาลัยนั้นแหละ
เดี๋ยวคุณเจอคนหน้าตาดีคนใหม่ก็ลืมแล้ว”
โทนี่ดึงข้อมือของอีกคนให้นั่งลงเพราะดูท่าพวกเขาจะคุยกันนาน
เห็นท่าทางถือหนังสือของโรเจอร์สแล้วสงสารเจ้าตัว คนตัวเล็กนั่งลงตามง่ายๆ
“ใช่แค่นั้นซะที่ไหนเล่า ผมไม่ได้ชอบแค่หน้าตาเขาซะหน่อย”
“ก็เห็นคุณเอาแต่พูดถึงหน้าตาแล้วก็หุ่นเขาให้ผมฟัง”
โรเจอร์สพูดพร้อมกับส่งคิ้วขมวดให้เขา
“เอ้า
ก็ผมจะให้คุณช่วยหาคน จะไปบรรยายอย่างอื่นให้ฟังทำไมไม่ทราบ”
อย่างบอกว่ากัปตันอเมริกาของเขาจูบเก่งแค่ไหนเหรอ!
พอได้ยินอย่างนั้นหนุ่มผมทองก็เอียงคอมองหน้าเขา
ดวงตาสีฟ้ามีแววสงสัย รู้เลยว่าเจ้าตัวอยากรู้อะไร
โทนี่ประหลาดใจเหมือนกันที่เขาสามารถเข้าใจโรเจอร์สได้เร็วขนาดนี้
ทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะเป็นเพื่อนแต่เมื่อได้รู้จักแล้วพวกเขากลับเข้ากันได้ง่ายกว่าที่คิด
“อย่างอื่นเช่น”
“เช่น...”
โทนี่แกล้งลากเสียง แล้วดูคนตรงหน้าตั้งใจฟังเขาก่อนจะอมยิ้มออกมา พอเห็นว่าเขาแกล้งโรเจอร์สก็ขมวดคิ้วใส่เขาอีกครั้ง
แต่ก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น “ก็ได้ๆ เขาช่วยไม่ให้ผมต้องถูกปล้นนะ
เป็นฮีโร่ขี่ม้าขาวที่ไม่คิดถึงตัวเอง”
“โธ่เอ้ย
ใครก็ทำทั้งนั้นแหละ เห็นคนถูกปล้นก็ต้องเข้าไปช่วยสิ”
“ใช่ที่ไหนเล่า
คนปกติเขาวิ่งไปอีกทางไปเรียกตำรวจ ไม่วิ่งเข้าไปขวางหรอก” โทนี่เถียงกลับ
แต่เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าทำสีหน้าไม่เชื่อก็โบกมือส่งสัญญาณว่าเขาเปลี่ยนเรื่องแล้ว
“อีกอย่างเขาเข้าได้ดีกับลูกๆของผม”
คราวนี้โรเจอร์สหัวเราะหึๆออกมา
ตากลมโตสีฟ้าเป็นประกาย โทนี่รู้สึกเหมือนหัวใจเขาเต้นเร็วขึ้นหนึ่งสเต๊ป เขาไม่ค่อยเห็นหมอนี่หัวเราะและยิ้มแบบนี้เลย
“คุณหมายถึงหุ่นยนต์ของคุณเหรอ”
“ใช่
คนที่ไหนที่เห็นหุ่นผมครั้งแรกก็คุยเหมือนเป็นปกติบ้าง น่ารักจะตาย”
“นี่คุณสตาร์ค
ผมว่าคุณสเป็คต่ำไปรึเปล่า หุ่นดี เป็นคนที่ดีแบบปกติ แล้วก็คุยกับหุ่นคุณได้
แค่นั้นเอง เขาไม่ได้พิเศษกว่าใครสักเท่าไหร่เลย”
โทนี่ตบมืออีกคนดังเผี๊ยะ
บังอาจนัก “นั่นยังไม่พิเศษอีกรึไง
คุณคิดว่าคนที่มีทุกอย่างรวมกันทั้งหมดมีกี่คนกันเชียว อย่างน้อยก็ไม่ใช่ถมถืดแน่
เพราะผมอยู่ที่นี่มาหกปียังไม่เจอใครอย่างเขาเลย”
“อีกอย่างคือเขามีจูบที่สุดยอดมาก
คุณไม่รู้หรอกว่าเขาใช้ปากได้ดีมากเลย
จนผมเก็บเอาไปคิดซะนานเลยว่าเขาจะใช้ปากของเขาทำอะไร—“
“โอ๊ยสตาร์ค
คุณนี่มัน”
โรเจอร์สพูดเสียงดังขัดเขากลางประโยคก่อนที่เขาจะได้บรรยายสิ่งในฝันของเขา
หน้าของหนุ่มผมทองเป็นสีแดงจัง ทั้งแก้มทั้งหูแล้วยังลามไปถึงคออีก โทนี่อดหัวเราะไม่ได้
พ่อคุณเอ๊ย หลุดมาจากยุคไหนกันนี่ที่ฟังอะไรแบบนี้แล้วหน้าแดงได้ขนาดนี้
“นี่ห้องสมุดนะคุณอย่าทำเสียงดังสิ”
โทนี่ยังไม่วายพูดหยอกต่อ “เดี๋ยวบรรณารักษ์ก็ออกมาดุหรอก
ไม่รู้รึไงบรรณารักษ์ที่นี่ดุ๊ดุ”
คนตัวเล็กแยกเขี้ยวใส่เขา
แล้วยืนขึ้นรวบหนังสือเข้ากับอก แต่เขาก็เร็วกว่า
โทนี่หยิบหนังสือครึ่งหนึ่งออกมาถือเอง “มาผมช่วย
ยังไม่อยากให้การในคดีบรรณารักษ์โดนหนังสือทับตายในห้องสมุด”
แต่มีหรือที่โรเจอร์สจะยอมให้เขาช่วยง่ายๆ
มืออีกคนเอื้อมออกมาตั้งใจจะคว้ากลับไป
แต่แค่เขายกมือขึ้นเหนือศีรษะอีกคนก็แตะไม่ถึงแล้ว โทนี่เลิกคิ้วมองคนที่เงยหน้าทำหน้ายุ่งมองเขา
“เอ้านำทางไปสิ จะได้เสร็จเร็วๆ ผมจะได้กลับมาเขียนรีเสิร์จเปเปอร์ต่อ”
“ถ้ายุ่งนักก็ไม่เห็นต้องช่วยเลย”
คนตัวเล็กบ่นอุบแต่ก็เดินนำไปอยู่ดี ส่วนโทนี่ยิ้มแล้วก็ก้าวขาตาม
ตลอดสัปดาห์ที่ตามมาทุกครั้งที่ว่างโทนี่ก็ไปแกร่วที่ห้องสมุด
แล้วต้องเป็นช่วงแปดโมงเช้าถึงบ่ายสามด้วยนะ เพราะนั่นคือกะของโรเจอร์ส
เขาเคยไปสายครั้งหนึ่งแล้วแทนที่จะเจอหนุ่มผมทองตัวเล็ก
กลับเป็นผู้ชายผมดำหน้าตายที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ไม้นั้นแทน
แล้วหน้าตาก็ดูดุเสียยิ่งกว่าโรเจอร์สเวลาโกรธเสียอีก เห็นแล้วเขาต้องถอยกลับไปเงียบๆเลย
นี่สินะเจ้าหน้าที่บาร์นที่อีกคนพูดถึง โชคดีขนาดไหนนะที่ไม่เคยต้องติดต่อด้วย
เมื่อเจอกันครั้งถัดไปแล้วเขาบ่นให้โรเจอร์สฟัง
เจ้าตัวก็ขำเขาเสียยกใหญ่
บอกว่าบัคกี้ก็เล่าให้ฟังเหมือนกันว่ามีเด็กนักเรียนหน้าตายังกับโจรมาด้อมๆมองๆ
กลัวแทบตายว่าจะมาปล้นรึเปล่า
ทำให้เขาต้องรีบบอกโรเจอร์สให้ไปบอกเพื่อนว่าตัดแว่นได้แล้ว
มองหน้าหล่อๆแบบนี้เป็นหน้าโจรไปได้ยังไง ถึงช่วงนี้เขาจะไม่ค่อยได้โกนหนวดแต่เขาก็ยังไม่ใช่โจรเว้ย!
แต่ช่วงสัปดาห์ก่อนจะถึงคริสต์มาสนั้นเขาก็ยุ่งขึ้นไปอีก
เขาก้าวหน้ากับโปรแกรมจาร์วิสขึ้น เหมือนพออารมณ์ดีงานก็เดินเร็วไปด้วย
แล้วพองานเดินเร็วเขาก็หมกตัวอยู่ในแลปเข้าสู่วงจรนอนๆกินๆในแลปเกือบสัปดาห์ แต่ไม่ใช่ว่าเขาขาดการติดต่อกับเพื่อน
(ใช่เพื่อน ยอมรับก็ได้ว่าเขาคิดว่าโรเจอร์สเป็นเพื่อนแล้ว
ให้ตายสิคุยกันมาเป็นสัปดาห์ ก็เพื่อนนั่นแหละ) เขาเท็กซ์หมอนั่นไม่หยุด ที่จริงเขาคงหยุดไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะโรเจอร์สเองก็เท็กซ์เขากลับด้วย
พวกเขาคุยกันได้ทุกเรื่องจนบางทีโทนี่ก็สงสัยว่าทั้งๆที่ไม่มีอะไรเหมือนกันขนาดนั้น
แต่ทำไมคุยกับโรเจอร์สได้สบายใจเหลือเกิน คงเป็นเพราะเขาไม่รู้สึกถึงความรู้สึกมุ่งร้ายของเจ้าตัวกระมัง
อีกอย่างหนุ่มผมทองไม่เคยเสแสร้งเวลาอยู่ต่อหน้าเขา
Tony: ผมไม่ได้นอนมาแล้ว 28 ชั่วโมง
แล้วคิดว่าตอนนี้เลือดผมน่าจะมีส่วนประกอบของคาเฟอีนสัก 50%
Steven Rogers, the librarian: ก็ไปนอนซะสิ จะบ้ารึไงคุณ! โอ๊ยทำไมไม่นอนเล่า
นี่อยู่ไหน
Tony: อยู่แลบสิ
แล้วไม่ต้องบ่นเลยเพราะขอบอกว่าการอดนอนของผมน่ะคุ้มค่าสุดๆ ตอนนี้ Mr.J สามารถเข้าระบบฐานข้อมูลของรัฐบาลได้แล้ว
Steven Rogers, the librarian: โดยผิดกฏหมายรึเปล่า?
Tony: อืมมม
อย่าพูดอย่างนั้นสิคุณ เรียกว่าผมใช้ช่องโหว่ในระบบที่เปิดอยู่ดีกว่า
Steven Rogers, the librarian: พอๆ ไม่ต้องพิมพ์ต่อแล้ว ให้ตายสิสตาร์คผมไม่อยากไปกินข้าวแดงกับคุณในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีแฮครัฐบาล
แล้วไปนอนได้แล้ว
Tony: ก็ได้ๆ
หลังจากนี้นะ มีงานต้องเก็บกวาดอีกนิดหน่อย แล้วผมหิวชะมัด
ป่านนี้ยังมีอะไรเปิดอีกไหมนะ
คราวนี้เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งแทนที่จะเป็นข้อความเหมือนทุกทีกลับเป็นรูปที่โรเจอร์สส่งมาแทน
รูปที่ทำให้เขาต้องหัวเราะลั่นกับความแสบของคนส่ง
เพราะมันคือรูปพิซซ่าร้อนๆชีสเยิ้มที่แสนจะดูน่ากินพร้อมกับหน้าของคนส่งที่ดูเยาะเย้ยเขาเต็มที่
Tony: โห
เอามาแบ่งเลยคุณ ใจร้ายชะมัดส่งอาหารโปรดของผมมาตอนที่ผมกำลังหิว
รู้เปล่าเนี่ยว่าตัวเองใจร้ายมากกกกกกกก
Tony: เดินมาที่ CSAIL
ซะดีๆ เอากาแฟมาให้ด้วย ผมทั้งหิว ทั้งง่วง จะตายอยู่แล้ว
หลังจากข้อความนั้นโรเจอร์สก็เงียบไป
ส่วนเขาก็กลับไปง่วนกับจาร์วิสเหมือนเดิม
หมายมั่นปั้นมือว่าหลุดไปได้เมื่อไหร่จะไปเขกหัวบรรณารักษ์ตัวดีซะให้เข็ดโทษฐานะส่งอาหารมายั่วตอนเวลาแบบนี้
แล้วเพราะเขากำลังมีสมาธิจากงานโทนี่เลยสะดุ้งโหยงตอนที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้น
เขาสบถลั่นก่อนจะรีบถลาไปรับลืมมองว่าใครเป็นคนโทรมา
“สวัสดีครับ” โทนี่กรอกเสียงลงไป
หูหนีบโทรศัพท์กับไหล่ขณะที่มืออีกข้างยังคงง่วนกับโค้ด
“เปิดประตูสิ
หนาวจะตายอยู่แล้วเฟ้ย” ปลายสายพูดเสียงสั่น และโทนี่ก็ได้ยินเสียงฟันกระทบกันด้วย
เขาต้องยกหูโทรศัพท์ออกมาดูให้แน่ใจว่าเขาจำเสียงนี้ได้ถูก พอเห็นแล้วเขาก็รีบกุลีกุจอกระโดดข้ามกองเศษเหล็กตรงไปที่ประตูทันที
ใครจะคิดว่าหมอนั่นจะมาจริง แล้วกลางดึกหนาวๆแบบนี้อีก
ทันทีที่เขาเปิดประตูร่างเล็กก็รีบเบียดตัวเข้ามา
โทนี่มองออกไปแว่บหนึ่ง หิมะกำลังตกเลยด้วย
เขาเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วใช้มือช่วยปัดหิมะออกจากเสื้อผ้าของอีกคน
“ดึกดื่นขนาดนี้ คุณกล้าเดินมาจากบ้านคุณได้ไงเนี่ย” เขาถามเสียงดุ
แต่จริงๆร้อนใจมากกว่า โอ๊ยจะบ้าตายไม่ได้ตั้งใจให้เอาอาหารมาให้จริงๆหรอก
รอบๆมหาวิทยาลัยน่ะซ่องโจรทั้งนั้น โชคดีโขที่ไม่โดนปล้นหรือทำอะไร
โรเจอร์สไม่ตอบในทันที
เพราะเจ้าตัวยังคงสั่นงั่กๆจากความหนาวอยู่
โทนี่ต้องรีบจับมืออีกคนลากเข้าไปในห้องแลปที่อุ่นกว่าทางเดิน
อยากจะดึงคนตัวเล็กเข้าไปกอดให้หายหนาวหรอก แต่กลัวจะโดนหมัดสวนกลับน่ะสิ
รู้นิสัยโรเจอร์สดีเลยว่าไม่ชอบโดนช่วยเหลือ
“มาจากห้องสมุด
วันนี้ฉันเข้าสองกะติด สัปดาห์นี้บัคกี้ลากลับบ้าน” โรเจอร์สตอบสั้นๆ
คงยังหนาวอยู่แต่อย่างน้อยก็ไม่สั่นแล้ว
“เอ้า ไม่บอกล่ะว่าสัปดาห์นี้คุณเลิกงานค่ำ
ผมจะได้ไปส่งคุณขึ้นรถเมล์
นี่ถ้าผมไม่เท็กซ์ไปเรียกนี่จะเดินออกไปรอรถคนเดียวเลยเหรอ” โทนี่เดินไปรอบๆ
พยายามหาอะไรมาห่อคนตัวเล็ก จนกระทั่งเจอผ้าพันคอของกัปตันอเมริกาที่ซุกในกระเป๋าเขา
โทนี่เอาผ้านั้นกลับไปซักที่บ้าน แล้วก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงพกมันติดกระเป๋ามาด้วย...หวังว่าจะเจอเหรอ...ตอนนี้ความหวังของเขาริบหรี่ลงไปทุกที
แต่เขาพยายามไม่คิดถึงเจ้าของผ้านั่น ชายหนุ่มเอาผ้าไปคล้องคอโรเจอร์สอย่างลวกๆ
“พันผ้านั่นเอาไว้ซะ จะได้หายหนาว” เขาสั่งแล้วเดินไปถือถาดพิซซ่าที่โรเจอร์สวางลงที่หน้าประตูมาวางที่โต๊ะหน้าพวกเขาสองคน
มือเล็กๆจับผ้าขึ้นมามองอย่างงงๆ
ก่อนจะพลิกปลายผ้าแล้วมองดูตัวอักษร S เจ้าตัวมีสีหน้าประหลาดใจ
คงเป็นเพราะไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะมีผ้าพันคอที่ถักเป็นตัวอักษรละมั้งโทนี่คิดในใจ
แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นเขาก็ไม่ได้อธิบายต่อว่า S ที่เห็นไม่ใช่ Stark แต่คงเป็นชื่อคนอื่นมากกว่า
“ไม่ต้องเรียกคุณไปดูแลหรอก
ผมขึ้นรถเมล์ดึกๆคนเดียวออกจะบ่อย ก่อนหน้านี้ผมก็เข้ากะกลางคืน จำไม่ได้รึไง
อีกอย่างไม่มีใครเขาอยากทำอะไรผมหรอก ปล้นผมไปก็ไม่มีของมีค่าอะไร
ไม่เท่ากับเวลาที่เสียไปหรอก”
โทนี่หยิบพิซซ่าขึ้นมายัดใส่ปาก
กันไม่ให้ตัวเองตอบออกไปว่านั่นก่อนเขารู้จักกับเจ้าตัวนี่
ในเมื่อโรเจอร์สจะทำตัวดื้อแบบนี้ก็ตามใจ
เขาเองก็จะทำแบบของเขาเหมือนกัน...ไปดักรอตอนเลิกงานไงเล่า
“ช่วงคริสต์มาสกับปีใหม่
คุณจะกลับนิวยอร์ครึเปล่า” เขาเปลี่ยนเรื่อง
คนถูกถามเลิกคิ้วกลับ “คุณรู้เหรอว่าผมมาจากนิวยอร์ค”
โทนี่กลอกตาใส่
“อ๋อขอโทษทีหนุ่มบรูคลิน ไม่รู้เล้ยว่าคุณมาจากไหน สำเนียงคุณเนี่ยบอกยากสุดๆ”
เขายื่นพิซซ่าให้คนตัวเล็ก หมอนี่น่าจะต้องทานอะไรสักหน่อย
โรเจอร์สรับพิซซ่าไปจากมือเขา ปลายนิ้วอีกคนยังคงเย็นอยู่ โทนี่มองตามอย่างเป็นห่วง
แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากกว่านั้น ไม่อยากโดนมองตาเขียวเพราะแสดงออกว่าเป็นห่วงอย่างที่เจ้าตัวไม่ต้องการหรอกนะ
“ไม่รู้รึไงผมก็มาจากนิวยอร์ค”
“อย่างคุณคงเป็นแมนฮัตตัน อัพเพอร์
อีสต์ไซด์น่ะสิ” โรเจอร์สพูดยิ้มๆ “เดาเอานะ
เพราะท่าทางคุณเนี่ยเห็นแล้วก็บอกยากสุดๆว่าคุณรวย คุณหนูสตาร์ค” โรเจอร์สให้ประโยคที่เขาประชดมาประชันเขากลับ
โทนี่หัวเราะเพราะเขารู้ว่าอีกคนแกล้งหยอก
“ยอมรับว่าผมโตในแมนฮัตตัน เอ้า แล้วคุณยังไม่ตอบเลยว่าคุณจะกลับรึเปล่า”
โรเจอร์สส่ายหน้า “อยู่ที่นี่แหละ”
“อ้าวแล้วคุณไม่กลับไปฉลองกับที่บ้านล่ะ”
“มีซะที่ไหนกันเล่า
ผมไม่มีครอบครัวหรอก พวกเขา..เอ่อ..ไม่อยู่แล้ว” โรเจอร์สพูดด้วยเสียงเรียบๆ
ไม่ได้มีความเศร้าแฝงอยู่ในนั้นเหมือนเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศมากกว่าเพิ่งบอกเขาว่าเจ้าตัวไร้ญาติขาดมิตรแล้วก็กำพร้าเสียด้วย
เป็นเขาซะอีกที่ฟังแล้วสะอึกไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอะไรออกไปดี
“เอ่อ แล้วคุณไม่อยากใช้เวลากับคนรักรึไง”
พูดจบโทนี่ก็อยากจะเอามือปิดหน้า
เพราะไม่ต้องรอให้โรเจอร์สตอบเขาก็พอจะเดาออกว่าอีกคนไม่มีหรอกคนรักที่ว่าเพราะตั้งแต่รู้จักกันเขายังไม่เคยเห็นหมอนั่นใช้เวลากับใครยกเว้นแต่กับงาน...แล้วก็เขา
แต่เฮ้เขาประหม่าแล้วปากมันก็พูดไปเอง พยายามเปลี่ยนเรื่อง...โดยนำไปเรื่องที่แย่กว่าเดิมซะอีก
โรเจอร์สทำหน้าเซ็งมองเขาเหมือนจะถามกลับว่านี่ปากใช่ไหมที่พูดออกมา
“ไม่มีเว้ย เป็นอัจฉริยะซะเปล่า” แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะเจ้าตัวร่ายต่อ
“เผื่อคุณจะตาบอดเพิ่มเติมจากสมองตายด้วยนะคุณสตาร์ค ผมสูงห้าฟุตสี่ หน้าตาไม่ได้เรียกว่าชวนฝัน
ทำงานอยู่ตลอดเวลา แถมผมยังไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยแล้วคุยสนุกสักเท่าไหร่
ถ้าผมมีคนรักได้นี่คงเรียกว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่แปดของโลกแล้วล่ะครับคุณอัจฉริยะ”
“อะฮะ ไม่ได้สังเกตเลยสักข้อ”
โทนี่พูดแหน็บ แหมยังกับว่าที่รู้จักกับมาสามสัปดาห์เขาไม่เห็นทุกข้อที่พูดมานั้นแหละ
ทันทีที่พูดจบขอบพิซซ่าจากคนตรงหน้าก็ลอยมาปะทะหน้าเขา โทนี่หัวเราะร่า
“โกรธอะไรกันเล่า ไม่ได้พูดว่าไม่ดีซะหน่อย คุณออกจะเหมือนผม บ้างาน ปากเสีย...แค่หน้าตาดีน้อยกว่านิ๊ดนึง”
คนฟังกลอกตามองบนส่ายหน้า
“แน่ใจเหรอว่านิ๊ดนึง วันนี้ใจดีกับผมจังนะ อีกอย่างถึงปกติคุยกับผมคุณจะทำตัวให้ผมสงสัยว่าระหว่างสมองกับปากคุณมีฟิลเตอร์รึเปล่า
แต่ถ้าคุณอยากจะทำตัวดีมีสเน่ห์คุณก็ทำได้หรอก ผมเห็นคุณทำตั้งหลายครั้ง
แต่ผมน่ะทำอย่างนั้นไม่เป็น”
“ไม่เสแสร้งน่ารักจะตาย”
โทนี่ตอบกลับโดยไม่คิด ก่อนจะสำลักพิซซ่าเมื่อได้ยินคำพูดนั้นออกจากปากตัวเอง น่ารักเขาเพิ่งพูดออกไปจริงๆใช่ไหม
เขาเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ตอนนี้กระพริบตาปริบๆแก้มเป็นสีชมพูสดอีกแล้ว
ก็น่ารักจริงๆนี่หน่า ท่าทางที่แสดงออกอย่างไม่ปิดบังอะไรสักนิด ที่จริงไม่ใช่แค่นั้นของโรเจอร์สหรอกที่เขาคิดว่าน่ารัก
ถ้าหากมองผ่านร่างกายที่อาจจะตกมาตรฐานของคำว่าน่าดึงดูดใจไปได้
ข้างในนั่นของสตีเฟ่น โรเจอร์สออกจะเป็นผู้ชายที่แสนดีออก ตรงไปตรงมา
เจ้าตัวคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
ขนาดกับเขาที่เพิ่งรู้จักกันหากคิดไม่ตรงหมอนั่นก็แสดงความเห็นโดยไม่ไว้หน้า
เวลาที่โรเจอร์สเห็นอะไรไม่ดีไม่งามหมอนั่นต้องเอาตัวเข้าไปช่วยโดยไม่คำนึงถึงตัวเองเล้ย
มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาไปในเมืองแล้วเขานี่แหละที่ต้องลากคนตัวเล็กออกมาจากกลุ่มอันธพาล
แล้วโทรเรียกตำรวจอย่างที่คนปกติเขาทำกัน คิดๆดูแล้วหมอนี่เหมือนสิงโตที่ติดอยู่ในร่างลูกแมว
โรเจอร์สกระแอม “เอ่อ
แล้วคุณไม่กลับบ้านจริงๆน่ะ วันหยุดที่จะถึงนี้น่ะ”
โทนี่รีบตอบ ดีใจที่เปลี่ยนเรื่องจากความน่าดึงดูดใจของโรเจอร์สเป็นเรื่องของตัวเขาเอง
“ใช่ อยู่ทำงานที่นี่ดีกว่า เคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าไม่อยากเจอคนที่บ้าน
แม่น่ะเร่งยิกๆอยากให้ผมจองตั๋วกลับ แต่แค่คิดว่าต้องไปเจอหน้าพ่อแล้วก็เซ็ง
ขี้เกียจทะเลาะด้วย” โทนี่ตั้งใจจะพูดต่อแต่แล้วก็หยุด
“เอ่อ นี่ผมคงฟังดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจเลยสินะ
บ่นให้คุณฟังเรื่องครอบครัว ขณะที่คุณ— เอ่อ--- คุณ—“
โรเจอร์สโบกมือบอกว่าไม่เป็นไรตัดบทเขา
ก่อนจะส่งยิ้มใจดีให้เขา “คุณคิดมากไปแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะ เรื่องครอบครัวน่ะผมทำใจได้ตั้งนานแล้ว
แต่คุณน่ะยังเป็นเรื่องปัจจุบันอยู่ คุณจะบ่นก็ไม่เห็นแปลกซะหน่อย
ถ้าคุณเริ่มเซนเซอร์ตัวเองต่อหน้าผมสิ ผมจะรู้สึกแปลกๆ”
โทนี่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
“นี่ก็เหมือนกัน พอคุณเริ่มทำตัวใจดีกับผมแบบนี้แล้วแปลกชะมัด
ปกติคุณต้องกลอกตาแล้วด่าผมไม่ใช่รึไง”
“ผมก็ใจดีกับคุณตลอดนั้นแหละ
พิซซ่านี่ใครถือมาให้ฮึ”
โทนี่หัวเราะแต่ไม่ได้ตอบกลับ ใช่จริงๆแล้วโรเจอร์สก็ใจดีกับเขา
ถึงจะบ่นนู้นบ่นนี่ไม่เคยพูดจาภาษาดอกไม้กับเขา (นับตั้งแต่ได้คุยกันจริงๆจังๆนะ)
แต่เจ้าตัวก็ตามใจเขาจนบางทีโทนี่ก็แปลกใจ ไม่เคยไม่ตอบข้อความของเขาแม้จะส่งไปดึกดื่นขนาดไหน
แล้วเมื่อไหร่ที่เขาชวนออกไปทานอาหารด้วยกันเจ้าตัวก็ยอมไปง่ายๆ
ทั้งที่บางทีโทนี่ก็เห็นว่าเจ้าตัวดูคงอยากนอนบนเตียงมากกว่าออกไปกับเขา เวลาเขาไปกวนตอนทำงานก็แค่บ่นเป็นหมีกินผึ้งแต่ไม่เคยเตะเขาออกจากห้องสมุด
พวกเขาทานพิซซ่าจนหมดแต่ก็ไม่ได้คุยกันต่อนัก
เพราะโทนี่เป็นห่วงว่าจะดึกกว่านี้ ถ้าไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะประท้วงและจะโกรธเขา
โทนี่คงขอตามไปส่งถึงบ้านหรอก ที่เขาทำได้ก็แค่เพียงเดินมาส่งที่ป้ายรถเมล์
หิมะหยุดตกแล้วแต่ยังกองหนาบนพื้น รถกวาดหิมะไม่ได้ทำงานดึกขนาดนี้
พวกเขาถึงต้องเดินย่ำหิมะเพื่อไปป้ายรถเมล์ แล้วโทนี่ก็ต้องประคองอีกคนเอาไว้ตลอด
ก็กลัวน่ะสิว่าหมอนั่นจะลื่นไปกับหิมะหน้าคว่ำ เมื่อถึงป้ายรถเมล์
โทนี่ก็หยิบมือถือขึ้นมาเชคตารางเวลาอีกครั้งเพราะตอนนี้คนข้างตัวเริ่มปากซีดอีกแล้ว
“เอ่อ ผมคืน”
โรเจอร์สถอนผ้าพันคอแล้วส่งคืนเขา แต่โทนี่ส่ายหน้าแล้วพันผ้ากลับเข้ากับร่างเล็กตรงหน้า
“ให้ยืมไปก่อน” โทนี่พูดยิ้มๆ
“ที่จริงให้คุณยืมก็ไม่ถูกหรอกเพราะนี่ไม่ใช่ของผม
แต่เป็นของคนที่ผมให้คุณตามหาไง”
“ว่าผมไม่ได้แล้วนะว่าผมมโนเขาขึ้นมาเอง”
มือเขายังอ้อยอิ่งแตะที่ไหล่ของโรเจอร์ส
“เอ่อ...งั้นผมจะรีบเอามาคืนนะ”
โรเจอร์สก้มหน้ามองผ้าพันคอสีเข้ม
“ไม่ต้องรีบก็ได้ ผมเก็บเอาไว้เพราะคิดว่าจะได้เจอเขา
แต่บางทีดูท่าแล้วอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องยอมรับก็ได้ว่าอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว
และปล่อยมันไป”
โรเจอร์สเงยหน้ามองเขา
ในความมืดสลัวนั้นโทนี่อ่านสีหน้าอีกคนได้ไม่ชัด
แสงไฟสีส้มของรถเมล์สาดเข้ามาพอดีพร้อมกับเสียงล้อบดหิมะหยุดข้างป้าย
“งะ...งั้นผมลาก่อน”
โรเจอร์สพูดแล้วรีบก้มหน้าวิ่งขึ้นรถเมล์ไปก่อนที่เขาจะได้พูดคำลา
โทนี่มองตามรถเมล์นั้นจนสุดตา
ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องรู้สึกโหวงๆในอกเมื่อเห็นรถเมล์ห่างออกไป
I don’t know I
would feel it but it’s in my way
โทนี่รีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับมองนาฬิกาไปด้วย
ใกล้จะถึงเวลาที่โรเจอร์สเลิกงานแล้ว วันนี้เขาอุตส่าห์ตั้งเตือนความจำ
แต่ก็เผลอแอบทำงานต่อจนเกือบจะสาย
แต่โชคดีที่จาร์วิสเตือนเขาอีกครั้งโทนี่ก็เลยออกจากแลบทัน ยิ่งใกล้คริสต์มาสขนาดนี้ทั้งมหาวิทยาลัยยิ่งเหมือนเมืองร้าง
ขนาดเด็กปริญญาเอกก็คงกลับบ้านกลับช่องกันแทนที่จะอยู่ทำงานที่มหาวิทยาลัยอย่างเขา
ยิ่งในห้องสมุดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แทบจะไม่มีคนเดินเข้าออก
โทนี่คิดขณะที่กระโดดขึ้นบันไดเข้าไปที่ทางเข้าของห้องสมุด
เขาผลักประตูเข้าไปไม่ได้หวังว่าจะเห็นใครนอกจากบรรณารักษ์ผมทองก้มหน้าอยู่หลังเคาท์เตอร์ไม้เตี้ยๆอย่างทุกที
แต่วันนี้ที่เขาเจอกลับไม่ใช่แค่โรเจอร์ส แต่เป็นหนุ่มผมดำใส่แว่นอีกคนนั่งอยู่ข้างโรเจอร์สด้วย
ทั้งคู่ก้มหน้าจ้องอะไรกันอยู่ไม่มีท่าทางสนใจโลกภายนอกเลย
ดูแล้วคนข้างๆตัวโรเจอร์สคงไม่ใช่นักเรียนละมั้งเพราะเขาจำได้ว่าเจ้าตัวดุเขาขนาดไหนตอนที่เขาปีนเข้าไปข้างหลังเค้าท์เตอร์นั่น
แถมยังดูสนิทสนมเหมือนเพื่อนมากกว่าเจ้าหน้าที่ห้องสมุดกับนักเรียนอีกด้วย
อย่างน้อยๆโรเจอร์สก็สะดวกใจพอที่จะส่งยิ้มน้อยๆแล้วย่นจมูกให้คนข้างตัว
แล้วทำไมเขาถึงต้องรู้สึกไม่พอใจด้วยนะ
เหมือนกับหวงนิดๆที่ต้องแบ่งโรเจอร์สให้กับใครก็ไม่รู้
ทั้งๆที่โรเจอร์สไม่ใช่ของเขาเสียหน่อย
“ผลเลือดนายก็เหมือนเดิมเป๊ะๆ”
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรผิดปกติ”
“เออ ไม่มี
ถ้าไม่เห็นรูปฉันคงคิดว่านายประสาทกลับแหง”
“ฉันเองก็คิดว่าตัวเองฝันไป
ถ้าเกิดเขา—“
บทสนทนาของทั้งคู่ถูกตัดตอนลงทันทีที่เจ้าของประโยคเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขา
เจ้าตัวสะดุ้งโหยงทำหน้าเหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่ากำลังขโมยคุกกี้จากโถ
ทำเอาเขาต้องเลิกคิ้วถามกลับ แต่โรเจอร์สก็ไม่ตอบ ทำแค่ก้มหน้างุดหลบตาเขาเท่านั้น
เป็นเขาเสียอีกที่ต้องเริ่มพูด
“เอ่อ สวัสดี” แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกระอักกระอ่วนขนาดนี้ไม่ทราบ
ให้ตายสิ
“สวัสดี” โรเจอร์สทักเร็วๆ
หันไปมองคนข้างตัวที่ตอนนี้ก็เลิกคิ้วใส่คนตัวเล็ก
ทั้งคู่สบตากันเหมือนกำลังสื่อสารกันด้วยจิต
ซึ่งขอบอกว่าทำให้โทนี่รู้สึกหงิดๆขึ้นอีกสามเท่าตัว โอ๊ย
นิสัยหวงของเล่นของเขาต้องแก้อย่างเร่งด่วนแล้ว “นี่โทนี่ สตาร์ค” โรเจอร์สผายมือมาทางเขา
“ส่วนนี่บรูซ แบนเนอร์ เขาเป็นหมอจากแมซซาชูเซต เจเนอรัล เป็นเพื่อนผม”
คุณหมอบรูซกวาดตามองเขา
แล้วก็หันไปมองคนข้างตัว เลิกคิ้วอีกครั้ง คราวนี้โรเจอร์สก้มหน้าก้มตาหลบ
แต่ยังไงก็ไม่สามารถซ่อนแก้มที่อยู่ดีๆก็แดงจัดขึ้นมาได้ “สวัสดีครับคุณสตาร์ค
ได้ยินเรื่องคุณมาซะเยอะเลยดีจังที่ได้เห็นหน้าซะที”
คุณหมอแบนเนอร์พูดพร้อมกับยื่นมือมาให้เขาจับ
“บรูซ”
โรเจอร์สทำเสียงดุใส่คนข้างตัว แต่หนุ่มแว่นผมดำกลับแค่ยิ้มกลับ
ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้อีกคนหน้าแดงขึ้นมาได้อีกแล้ว คราวนี้แดงไปถึงหูเลยด้วย
นี่เขาพลาดอะไรไปรึเปล่า โทนี่ชักสงสัยขึ้นมาแล้ว
“คุณมีธุระอะไรรึเปล่า”
ในที่สุดคนที่เขาตั้งใจมาหาก็หันมาคุยกับเขา
“นั่นสิครับ
ไม่ดึกไปรึไงที่นักเรียนจะมาห้องสมุดในเวลานี้ หรือคุณจะมีธุระอื่นน้า”
“บรูซ!” เป็นอีกครั้งที่โรเจอร์สทำเสียงสูงใส่เพื่อน
“อ้าวแล้วไม่ดึกไปเหรอครับที่คุณหมอจะอุตส่าห์ขับรถข้ามสะพานจากบอสตันมาแคมบริดจ์เพื่อมาห้องสมุดที่นี่น่ะ”
โทนี่ถามกลับเพราะเฮลโลอย่างน้อยๆเขาก็เป็นนักเรียนนะ
แล้วหมอหน้าจืดนี่เป็นใครไม่ทราบ นักเรียนก็ไม่ใช่
“สตาร์ค!” คราวนี้กลายเป็นเขาแทนที่โดนดุใส่
แต่โทนี่ก็หันมายักไหล่ใส่คนพูด นี่ก็ตาแว่นนั่นเปิดช่องเองนะ
เขาจะกระทบกระเทียบมันก็เป็นเรื่องปกติสิ “บรูซมารับฉันกลับบ้าน
พวกเราอยู่ใกล้ๆกัน”
“โอ้”
โทนี่พูดได้แค่นั้นเมื่อได้ยินคำอธิบาย
งั้น...เขาก็ไม่ต้องเดินไปส่งโรเจอร์สที่ป้ายรถเมล์แล้วสิ
อย่างนี้นี่เองเจ้าตัวถึงบอกว่าไม่ต้องห่วงที่เลิกดึก มีคนมารับก็ไม่บอกเขา
ถ้าบอกกันเสียหน่อย เขาคงไม่— คิดแค่นั้นแล้วก็หยุด คงไม่อะไร ไม่มาหาที่นี่ ไม่รู้สึกหงุดหงิดแบบนี้
“ตกลงคุณมีธุระอะไรรึเปล่า
คุณส่งข้อความมาก็ได้นะไม่เห็นต้องมาเลย
หิมะเพิ่งหยุดถนนลื่นแล้วยังดึกๆดื่นๆแบบนี้อีก” โรเจอร์สบ่นเป็นชุด
“เดี๋ยวนะเพราะอย่างนั้นนายถึงเอาแต่เช็คโทรศัพท์ไม่หยุด”
คุณหมอหนุ่มหันไปพูดกับคนข้างตัวโดยไม่สนใจเขาที่ยังยืนเป็นหัวหลักหัวตอและกำลังหาคำโกหกดีๆที่จะไม่ทำให้หน้าแตกว่าเขาอุตส่าห์ฝ่าความหนาวออกมาเพื่อจะเดินไปส่งคนถามน่ะสิ
“ชู่ว บรูซ เงียบๆไปเลย” โรเจอร์สทำตาพองแล้วกระซิบดุเพื่อน
“แต่—“ หมอแบนเนอร์ผายมือมาทางเขาอีกครั้ง
ก่อนจะถอนหายใจแล้วพึมพำอะไรใต้ลมหายใจสักอย่างที่เขาฟังไม่ทัน
“นายติดหนี้ฉันเยอะเลยนะสตีฟคราวนี้
ให้ตายสิอยู่ดีๆก็โดนลากเข้าฉากละครน้ำเน่าตอนบ่ายเฉยเลย”
แบนเนอร์หันไปพูดกับเพื่อนพร้อมกับส่ายหน้า
“เอ่อ แค่มาตามผ้าพันคอน่ะ”
ในที่สุดก็หาข้ออ้างดีๆพบ เกือบลืมเรื่องผ้าพันคอไปแล้ว ไม่หน้าแตกแล้วเรา
“โอ พระเจ้า
ฉันทำกรรมอะไรเอาไว้นะ” แบนเนอร์พูดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเขาพูดคำว่าผ้าพันคอ
“ฉันว่านายเข้าเวรหลายชั่วโมงไปนะบรูซ
ไปนอนรอที่รถเลย”
“เอ่อ
เดี๋ยวผมเอาไปให้คุณวันหลังก็แล้วกันนะ ขอโทษทีครับที่ทำให้คุณต้องมาตามแบบนี้”
โรเจอร์สหันมาขอโทษอย่างสุภาพ “แล้วถ้าไม่มีธุระอะไร
ก็...เอ่อ...ห้องสมุดถึงเวลาปิดแล้ว คุณช่วย—“
“อะฮะ รู้แล้วๆ
ผมก็จะรีบกลับไปทำงานเหมือนกัน” โทนี่แสร้งหัวเราะแล้วรีบหันหลังกลับ ไม่ต้องรอให้ไล่หรอก
โทนี่เดินกลับมาถึงห้องแลบร้อนไปทั้งตัวแม้อุณหภูมิจะแค่สามสิบองศาเพราะเขาเล่นวิ่งมาตลอดทางจากห้องสมุดฮาร์เดนถึงตึก
CSAIL น่ะสิ
เขารีบถอดเสื้อโค้ทออกแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าเวิร์คสเตชั่น
มือวางเหนือคีย์บอร์ดแต่ก็ขยับไม่ได้
“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณสตาร์ค”
เสียงของจาร์วิสดังมาจากลำโพงไม่ห่างจากตัว
โทนี่หลับตารอให้หัวใจเต้นเป็นปกติกว่านี้สักนิดแล้วตอบกลับด้วยเสียงสั่นๆ
“ฉันคิดว่าฉันกำลังตกหลุมรักจาร์วิส”
โทนี่ไม่ได้พูดเล่น
ไม่ใช่อาการหวงของเล่น เขาบอกตัวเองว่ามันเป็นอาการหวงของเล่น แต่ยิ่งคิดเขายิ่งแน่ใจว่ามันไม่ใช่
เขาไม่ได้แค่ไม่อยากแบ่งสตีเฟ่น โรเจอร์สให้กับใคร
เขาหงุดหงิดจนเกือบปีนข้ามเคาท์เตอร์ไปบีบคอตาแว่นนั่นทันทีที่หมอนั่นเรียกโรเจอร์สว่าสตีฟ
โอ๊ย ทำไมเขารู้ตัวช้า
แต่ที่แย่ยิ่งกว่ารู้ตัวช้าคือเขาจะไปกล้าบอกโรเจอร์สได้ยังไงว่าเขาคนที่เพิ่งพร่ำพรรณาหาผู้ชายอีกคนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนกำลังตกหลุมรักผู้ชายคนใหม่
ทำไมต้องซวยขนาดนี้ด้วยว้า ไม่มีทางเลยที่จะพูดยังไงให้ออกมาฟังดูดี แบบเฮ้
ผมไม่ได้จริงจังกับคนที่ผมให้คุณช่วยหาหรอก
ที่ผมว่าเขายอดเยี่ยมน่ะผมก็อาจจะเว่อร์ไปสักนิด จริงๆคุณก็เยี่ยมเหมือนกัน
รู้เลยว่าโรเจอร์สคงจะมองเขาเหมือนเขาสติไม่เต็มแล้วบอกว่าเขาอาจจะขาดเซกซ์มานานเกินไปก็ได้
จาร์วิสไม่ได้มีคำตอบให้เขา
แน่ล่ะโทนี่ไม่เคยใส่พารามิเตอร์ของคำว่าความรัก สมองกลไม่สามารถแก้ปัญหาหัวใจได้
เขาไม่ได้สร้างจาร์วิสมาเพื่อช่วยเรื่องนั้น...คิดแล้วก็เสียดาย
บางทีจาร์วิสอาจจะมีสติกว่าเขาที่ไล่ตกหลุมรักผู้ชายทุกคนที่เขาเข้าใกล้ก็ได้
I miss you so, so bad
และถึงเขาเป็นโทนี่ สตาร์ค
ที่ไม่เคยลังเล พุ่งชนทุกปัญหา แต่ก็มีบางครั้งที่เขาต้องขอเวลากลับไปทำใจวางแผน
แล้วหาทางชนะก่อนเข้ารบเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นการที่เขาจองตั๋วกลับนิวยอร์คเช้ารุ่งขึ้นไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวคำว่าไม่จากโรเจอร์สจนหนีหางจุกตูด
เขากลับไปวางแผนต่างหาก
แม้ว่าการวางแผนที่ว่าจะเป็นการใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในห้อง
จ้องมองมือถือราวกับมันเป็นผีร้ายอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขารอโทรศัพท์จากใครบางคน แต่เป็นเพราะใครบางคนส่งข้อความหาเขาไม่หยุดต่างหาก
อาหารค่ำคืนคริสต์มาสก็กระอักกระอ่วนเป็นที่สุด
โทนี่เอาแต่ทำตาเขียวใส่โทรศัพท์ในมือ พ่อเอาแต่ทำตาเขียวใส่เขาที่ไม่ยอมคุยกับใคร
ส่วนแม่ก็เอาแต่ทำตาเขียวใส่พ่อห้ามไม่ให้พูดอะไรออกมา
แม่เซนซ์ดีอีกตามเคยว่าเขาต้องมีเรื่องยุ่งยากใจ แน่นอนแม่พยายามชวนเขาคุย
แต่เขาเป็นผู้ชายตระกูลสตาร์คนะ
กฎข้อที่หนึ่งของผู้ชายตระกูลสตาร์คคือพูดความรู้สึกไม่เป็น
ยกเว้นแต่เวลาเป็นเวลาตาย ดังนั้น...แม่เลยต้องล่าถอยออกไปอย่างพ่ายแพ้ แต่ก็หลังพูดประโยคที่ทำให้เขาตัดสินใจได้
“ลูกน่าจะกลับไปแมสซาชูเซตส์นะจ้ะ
ลูกดูไม่สบายใจที่อยู่บ้านเลย แม่รู้ว่าลูกมีปัญหาอะไรสักอย่างที่ไม่อยากบอกแม่
แต่ไม่ว่ามันคืออะไรแม่รู้ว่าลูกจะต้องแก้ได้ อย่างที่ลูกทำได้เสมอๆนะจ้ะโทนี่”
แม่ส่งยิ้มให้เขาแล้วปิดประตูออกไป
หลังจากเดินไปเดินมารอบเตียงคิดถึงคำพูดแม่
ความรู้สึกของตัวเอง
และหาวิธีที่จะเอาชนะใจผู้ชายที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าชอบ...ใช่เพิ่งรู้สึกตัว
เขาผิดเองที่ที่รู้ตัวช้าไป ที่รู้ตัวช้าขนาดนี้เป็นเพราะหน้าตาหมอนั่นไม่ใช่สเป็คเขา
100% น่ะสิ
โทนี่ชอบคนหน้าตาดี พูดเลยว่าบางทีเขาก็ตื้นเขิน
แต่นอกจากหน้าตาดีโทนี่ก็ยังชอบจิตใจที่ดี
ซึ่ง...มันอาจจะเห็นได้ยากกว่าหน้าตาไปสักหน่อย
เลยมักไม่ใช่เรื่องแรกๆที่เขาคิดถึง
เขาก็คิดตกว่า...ไม่มีวิธีไหนแม่งที่เขาจะไม่โดนปฏิเสธเลย ยกเว้นเสียแต่เขาจะใจเย็นค่อยๆตะล่อมเป็นเพื่อนกับโรเจอร์สเสียสักปีแล้วค่อยจีบ
โธ่เอ้ยแต่นี่เขานะ เขาที่ไม่เคยใจเย็นกับอะไรทั้งนั้น
ได้โพล่งออกไปก่อนหมดสัปดาห์แน่ๆ
เวลารบที่ไม่เห็นทางชนะแบบนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ...เดินหน้าแล้วสวดภาวนาใช่ไหม
โทนี่อาจจะไม่ใช่พวกเชื่อโชคลาง คำอธิฐานบ้าบอคอแตกอะไรทั้งนั้น
แต่ในเมื่อมันกำลังจะเป็นวันสิ้นปี บางทีโชคชะตาอาจจะให้ของขวัญที่เขาไม่คาดคิดก็ได้
...หรือไม่ก็ตาเขียวๆ...เข้ากันได้ดีกับเทศกาลเชียวล่ะ
โทนี่ถอนหายใจอย่างปลงตกก่อนจะเปิดมือถือขึ้นมากดซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเคมบริดจ์เร็วที่สุด
ให้ตายสิหวังว่าจะไม่มีพายุหิมะจนทำให้เขาบินออกจากนิวยอร์คไม่ได้นะ
แล้วก็ไม่มีพายุหิมะ
แต่เขาอาจจะใช้โชคที่มีหมดแล้วกับการเดินทาง เพราะทันทีที่มาถึงแล้ววิ่งดิ่งไปที่ห้องสมุด
เขาก็พบว่าห้องสมุดปิด...นั่นสิวันหยุด
นอกจากนั้นคนที่ส่งข้อความหาเขาไม่หยุดเมื่อสองสามวันก่อนก็หายจ้อย
เขาส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน ไม่เปิด โทรไปก็ไม่รับ
รู้หรอกว่าเขาผิดก่อนที่อยู่ดีๆก็หายหน้าไปโดยไม่บอก
แต่ตอนนี้คำถามที่ต้องการคำตอบคือเขาจะไปหาบรรณารักษ์สุดที่รักของเขาได้ที่ไหน
จะให้สุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นรถเมล์เข้าเมืองไปเขาก็ไม่รู้จะลงป้ายไหน
เพื่อนคนอื่นของโรเจอร์สเขาก็ไม่รู้จัก
คิดถึงตรงนี้โทนี่ก็หยุด....ไม่สิ...เขารู้จัก...อยู่คนนึงใช่ไหมล่ะ
โทนี่มองตึกสีขาวสูงสามชั้นของโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์เจเนรัลแล้วต้องกลืนน้ำลาย
จะมาป๊อดทำไมไม่ทราบ เขาอุตส่าห์ฝ่าอากาศหนาวที่ทำให้ขาแข้งแข็งไปหมดมาที่นี่
เพราะรู้ว่าอย่างน้อยก็มีหมอคนนึงที่จะรู้ว่าโรเจอร์สอยู่ที่ไหน
แต่หมอที่ว่า...ก็อาจจะเป็นศัตรูหัวใจด้วยน่ะสิ คิดดีรึเปล่านะจะไปขอความช่วยเหลือ
แล้วคราวนี้เขาไม่มีคำพูดที่ฟังแล้วไม่หน้าแตกอย่างมาทวงผ้าพันคออีกด้วย
ชายหนุ่มผมดำกลืนน้ำลายแล้วบังคับให้ตัวเองเดินเข้าไปที่ประชาสัมพันธ์
ปั้นหน้ายิ้มที่แน่ใจว่ามีเสน่ห์ที่สุดแล้วขอพบคุณหมอบรูซ แบนเนอร์
โทนี่เดินผ่านป้ายแผนกรังสีวิทยา
ด้อมๆมองๆจนเจอป้ายชื่อของหมอหนุ่มที่เขาตามหา
พยาบาลที่ข้างหน้าบอกเขาว่าคุณหมอแบนเนอร์ไม่มีนัด
น่าจะกำลังอ่านเคสคนไข้อยู่ในห้องทำงาน
แต่เพื่อให้แน่ใจว่าโทนี่จะไม่ได้โผล่เข้าไปตอนที่หมอให้คำปรึกษาเขาถึงทำตัวมีมารยาทดีเคาะประตูห้องเสียก่อน
ไม่มีเสียงบอกว่าให้เขาเข้าไป โทนี่แอบใจแป้วเล็กๆ
แต่แล้วประตูก็เปิดออกพร้อมกับหนุ่มผมดำใส่แว่นโผล่หน้าออกมา
ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเจอว่าคนที่เคาะเรียกคือเขา
“คุณมีธุระอะไรรึเปล่าครับคุณสตาร์ค”
คนถามกอดอกพิงประตูมองหน้าเขา
“เอ่อคือ...ผม...ที่อยู่ของโรเจอร์ส”
โทนี่ลิ้นพันกันพูดไม่เป็นประโยค โอ๊ยทำไมเขาต้องประหม่าด้วยหนอ
“257 ถนนสี่ด้านตะวันออก
เขาอยู่ห้อง 505” คำตอบที่ได้ตรงประเด็นเผง
ขนาดคำถามเขาไม่เป็นประโยคนะนั่น “เฮ้ไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น ผมไม่อยากเจอดราม่าอะไรในชีวิตนะ
พวกคุณช่วย ไม่รู้สิทำอะไรกันสักอย่าง อ้อเผื่อคุณยังไม่รู้ เขาโสด โสดสนิท
ไม่มีแฟน ไม่มีคนจีบ แล้วก็ไม่ประสีประสาด้านความรักสุดๆ
อย่าทำเสียเรื่องล่ะสตาร์ค”
“เฮ้
นี่คุณคิดว่าผมถามที่อยู่เขาไปทำไม”
หมอแบนเนอร์ถอนหายใจแรง
“ต้องให้ตอบด้วยเหรอ เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าคุณชอบเขา แล้วไอ้การที่คุณเอาแต่มองเขาอย่างซื่อบื้อโดยไม่ทำอะไรน่ะสร้างความปวดหัวให้ผมสุดๆ
ผมไม่อยากรับมือกับเรื่องความรักของใคร แค่เรื่องของตัวเองผมก็เอาแทบไม่รอดแล้ว”
โทนี่เปิดปากจะเถียง
เพราะเดี๋ยวนะชัดเหรอ ชัดที่ไหน คนที่ชอบยังเพิ่งรู้ตัวเร็วๆนี้เอง
แล้วหมอนี่เป็นใคร ไหงถึงได้รู้แค่เจอเขาแค่ครั้งเดียวฟระ
แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสนั้นเพราะทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ แบนเนอร์ก็ปิดประตูใส่หน้าเขา
โดยไม่วายตะโกนมาจากหลังประตู “แล้วไปได้แล้ว ผมยุ่ง”
โทนี่หันหลังกลับแล้วเดินไปทางเดิมอย่างงงๆ
เพราะเขาเพิ่งโดนคุณหมอที่ท่าทางหงิมๆพูดใส่จนเขาพูดไม่ทันน่ะสิ เฮ้ย
เคยเกิดขึ้นบ่อยๆซะที่ไหน แล้วจนกระทั่งรถเมล์แล่นผ่านสะพานข้ามกลับเคมบริดจ์นั้นแหละเขาถึงระลึกได้ว่าเขายังไม่ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุดกับแบนเนอร์เลย
...สตีเฟ่น
โรเจอร์สพอจะมีใจให้เขาบ้างรึเปล่า...
Where you think you're going, baby?
โทนี่แน่ใจว่าโลกทั้งโลกกำลังสมรู้ร่วมคิดกันอยากให้เขาโสด
ก็มันไม่มีคำอธิบายอื่นน่ะสิว่าทำไมเขาถึงต้องยืนบื้อมาห้านาทีกว่ากดออดซ้ำเรียกคนในห้อง
505 ก่อนที่จะมีคนชะโงกหน้ามาด่าเขาว่าไม่มีคนอยู่ห้องเว้ย
อุตส่าห์ตามหาจนเจอแล้ว แต่เจ้าของห้องก็ดันไม่อยู่เสียอีก
ลมหนาวพัดซู่จนโทนี่สั่นไปทั้งตัว
ครั้นจะให้ยืนรออย่างนี้เขาคงกลายเป็นแจ็คตอนจบของไททานิคกันพอดี เขาหันรีหันขวาง
ว่าจะหาที่อุ่นๆรอ
แต่ก่อนที่จะเดินออกไปไกลจากอพาร์ทเมนต์เขาก็ได้ยินเสียงโครมครามออกมาจากตรอกข้างๆ
โทนี่กำลังจะเดินผ่าน แต่แล้วจิตใจส่วนดีก็เอาชนะไปได้
เขาโผล่หน้าไปดูเด็กหนุ่มในเสื้อฮู้ดสี่ห้าคนกำลังรุมใครคนหนึ่งอยู่ในตรอกที่ว่า
เขารีบหลบที่มุมมืดข้างๆแล้วดึงถุงมือออกมากดโทรเรียกตำรวจ
แต่ก่อนที่จะกดโทรออกสำเร็จ เสียงจากในตรอกก็ทำเอาเขาหยุดนิ่ง
“บอกไว้เลยนะผมทำอย่างนี้ได้ทั้งวัน”
โทนี่รีบโผล่หน้าเข้าไปดูอีกครั้ง
เพราะประโยคนั้นคือประโยคเดียวกับที่กัปตันอเมริกาของเขาใช้
แต่แทนที่ตรงกลางจะเป็นร่างสูง หุ่นล่ำ ผมทอง กลับเป็นหนุ่มตัวเล็ก
ผมสีเฉดเดียวกัน คนที่เขาตั้งใจมาตามหาอยู่ตรงนั้นแทน
โทนี่รีบยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างตกใจ
เฮ้ยยยยย เป็นไปไม่ได้
บ้าไปแล้ว เดี๋ยวสิ เป็นไปได้ยังไง โอ๊ยไม่ใช่เวลามาคิดแล้วเว้ย
โทนี่ก้มมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้งกว่าตำรวจจะมาโรเจอร์สได้โดนอัดเป็นโจ๊กก่อนแน่
เร็วเท่าความคิดเขารีบกดหาคลิปเสียงที่ต้องการแล้วกดเปิดทันที
เสียงไซเรนหวอตำรวจดังมาจากลำโพงของโทรศัพท์ ถ้าหากฟังชัดๆก็จะรู้ว่าเบากว่าเสียงจริงเยอะ
แต่เพราะคนในตรอกนั่นเองก็ตื่นตกใจอยู่แล้ว
พวกเด็กวัยรุ่นก็เลยมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้วรีบวิ่งหนีออกจากตรอก
ทิ้งให้หนุ่มผมทองยืนอยู่คนเดียว โทนี่กัดริมฝีปาก
แล้วตัดสินใจในชั่ววินาทีก่อนที่สมองเขาจะตามทันแล้วบอกว่าเขามันบ้าไปแล้ว
โทนี่เดินเข้าไปกอดหนุ่มผมทองที่ยืนโซเซในตรอกนั่นจากข้างหลังแล้วกระซิบข้างหูเบาๆ
“กัปตันอเมริกา”
คนในอ้อมกอดเขาตัวแข็งขึ้นมาทันที
พร้อมกับหันหลังโดยที่แขนของโทนี่ยังคงโอบอยู่รอบเอวอีกคนไม่ปล่อย
ไม่ให้หนีไปไหนหรอก จนกว่าเขาจะได้คำอธิบาย โทนี่มองดวงตาสีฟ้าสดที่เบิกกว้างมองเขาอย่างตกใจ
แล้วก็ผมสีทองประกาย ให้ตายสิทำไมเขาไม่เคยสังเกตนะว่าเป็นเฉดสีเดียวกัน
ก่อนจะมาหยุดที่ผ้าพันคอที่เจ้าตัวใช้ S จาก Steven เป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุด
ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันได้หมด...แต่...มันไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมสตีเฟ่นที่เขาเจอในคืนนั้นถึงได้เป็นหนุ่มสูงหกฟุตกว่าขณะที่สตีเฟ่นในอ้อมแขนเขาตอนนี้กลับตัวเล็กกว่าเขาตั้งครึ่งฟุต
“คุณใช่ไหม”
โทนี่ถามอีกครั้ง
โรเจอร์สก้มหน้าแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา
รู้จักกันมาเกือบเดือน นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขารู้ เจ้าตัวไม่โกหก
การที่โรเจอร์สไม่ได้ปฏิเสธในทันทีก็เท่ากับเจ้าตัวรับแล้วนั้นแหละ
“ทำไมคุณถึงไม่บอกผม”
เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“บอกไปแล้วคุณจะเชื่อรึไง”
โรเจอร์สเงยหน้าขึ้นมามองเขาในที่สุด “ขนาดผมเองยังไม่เชื่อเลยว่าเรื่องคืนนั้นเกิดขึ้นจริง
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆผมก็หมดสติตอนที่กำลังเดินไปทำงาน
ตื่นมาอีกทีก็ตัวโตเป็นยักษ์ เจอคุณโดนอัด
แล้วพอเที่ยงคืนผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ถ้าผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้
หรือว่าถ้าคุณไม่มาตามหา ผมคงคิดว่าตัวเองหัวกระแทกฝันทุกอย่างไปแหง”
โทนี่คิดตาม “นั่นคือเรื่องที่คุณคุยกับแบนเนอร์
ให้เขาตรวจเลือดคุณว่าทำไมมันเกิดขึ้น”
โรเจอร์สพยักหน้า
“ใช่ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำอีก”
พูดถึงตรงนี้โรเจอร์สก็ก้มหน้าซ่อนสายตาอีกครั้ง “ถึงผมจะภาวนาแทบตายให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีกก็เถอะ”
โทนี่หัวใจเต้นเร็ว...เฮ้
เขาไม่ได้โง่ไปซะทีเดียวนะ อาจจะหัวช้ากว่าที่จะรู้ใจตัวเอง
แต่เขาก็พอจะเดาได้หรอกว่าเหตุผลที่สตีเฟ่นอยากจะกลับมาเป็นผู้ชายที่เขาตามหาเพราะอะไร...ใช่มะ...คงไม่ใช่เพราะหมอนั่นอยากใช้ร่างนั้นไปอัดกับอันธพาลหรอกนะ
ไม่ใช่หรอก อยู่ในร่างไหนหมอนั่นก็อัดกับอันธพาลได้ตลอดอยู่แล้ว
“เพราะคุณชอบผม”
“แต่คุณไม่ได้ชอบผม”
โรเจอร์สพูดเสียงเศร้าๆโดยที่เจ้าตัวยังคงก้มหน้าเหมือนเดิม “ผมไม่ได้สูงเป็นนักกีฬา
ไม่ได้หุ่นล่ำชวนฝัน ไม่ได้เก่งขนาดช่วยคุณจากโจรได้ ผมมันก็แค่ลูกหมาสูงห้าฟุต
ที่คุณไม่เคยสนใจ”
“ผมสนคุณ”
โทนี่รีบแย้ง คนในอ้อมแขนเขาเงยหน้าขึ้นมาทันที ตาสีฟ้าหรี่มองเขาอย่างไม่เชื่อ
ริมฝีปากอิ่มเปิดเหมือนกำลังจะเถียง แต่เขาไม่ยอมหรอก
วันนี้เขาพูดไม่ทันแบนเนอร์แค่คนเดียวพอ “ผมสนคุณ สนมากๆเลยด้วย
สนจนตัวเองสับสนไปหมด จนต้องหนีกลับไปดูใจว่าผมไม่ได้บ้าไปแล้วที่นิวยอร์ค โอเค
ยอมรับว่าอาจจะไม่ได้ตกหลุมรักแบบปัจจุบันทันด่วนเห็นคุณปุ๊บอยากลากขึ้นเตียงปั๊บ
แต่ผมก็รู้สึกอย่างนั้นมา...มาสักอาทิตย์แล้วล่ะ ผมชอบที่คุณไม่เคยเสแสร้ง
ผมชอบที่คุณเป็นพวกรักความยุติธรรมโดยไม่ดูตัวเองเล้ย
ผมชอบที่คุณใจดีกับผมเป็นพิเศษกว่าใครๆ ผมชอบเวลาที่คุณเผลอยิ้มให้ผม
ผมชอบเวลาที่คุณขมวดคิ้วดุผมด้วย ผมชอบที่คุณเข้ากับลูกๆของผมได้ ผมชอบคนหน้าตาดี
แต่ที่สำคัญกว่าคือผมชอบคุณที่จิตใจดี” โทนี่ยอมรับอายๆ
“ทำไมคุณมาทำใจดีกับผม
นี่ไม่ต้องพูดเพื่อให้ผมรู้สึกดีหรอกนะ”
โทนี่อยากจะมองบนใจจะขาด
“นี่คุณอย่าทำให้เป็นเรื่องยากสิ” เขาอดดุไม่ได้ “คุณเองก็แบบ...ชอบผมด้วยไม่ใช่รึไง”
โทนี่ไขว้นิ้วภาวนาให้คำตอบคือใช่ เขาไม่เชื่อเรื่องโชคลาง
แต่ตอนนี้อะไรก็เอาทั้งนั้น
“นั่นไม่ใช่ประเด็น”
โรเจอร์สขมวดคิ้วมองเขา “มันเป็นปกติอยู่แล้วที่ใครๆจะชอบคุณ คุณก็รู้ดี”
โทนี่หัวเราะลั่น
ทำให้คนตัวเล็กมองเขาเหมือนเป็นคนบ้า “ปกติเหรอ คุณรู้ไหมผมโดนบอกเลิกบ่อยขนาดไหน
อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีคนชอบผมก่อนที่จะรู้จักกับผมจริงๆ
แต่รู้จักกันแล้วไม่เกินเดือนก็เปิดแนบทุกราย
ผมเป็นไอ้เนิร์ดที่ใช้เวลาแปดสิบเปอร์เซนต์อยู่ในแลบกับห้องสมุด ผู้ชายปากเสียแบบแก้ไม่ได้
แล้วยังมีนิสัยไม่ดีอีกเยอะแยะเต็มไปหมด คนที่ชอบผมน่ะไม่ปกติหรอก คุณชอบผมใช่ไหม
แม้ว่าจะเห็นนิสัยแย่ๆของผมมาตลอดเดือนที่ผ่านมา คุณชอบผมใช่รึเปล่า” โทนี่ถามตื้อ
“ได้โปรดตอบว่าใช่เถอะนะ” โทนี่กระซิบเบาๆกับหน้าผากมน
“คุณไม่เคยใช้คำว่าได้โปรดเลย”
โรเจอร์สกระซิบถามกลับ แก้มแดงจัด
“เก็บเอาไว้ใช้ในเวลาพิเศษน่ะสิ”
โทนี่ยิ้มกริ่มเพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ยินคำว่าไม่น่ะสิ “แล้วผมถามคุณมาตั้งแต่ต้นเดือน
นี่จะปลายเดือนแล้วตอบผมได้รึยังว่าคุณจะออกเดทกับผมได้รึเปล่า”
“ได้โปรดนะครับ”
โทนี่เพิ่มเข้าไปพร้อมกับก้มหน้ามองตาคนในอ้อมแขน
“ตกลง”
คำตอบนั้นอู้อี้เพราะคนตอบดันเขินจนเอาหน้าซุกเข้ากับไหล่ของเขาน่ะสิ
โทนี่กอดอีกคนแน่นขึ้นมองหลังหูที่แดงจัด แล้วหัวเราะน้อยๆ
คอยดูสิเขาต้องหาทางที่จะทำให้หูของสตีเฟ่นแดงได้มากกว่านี้อีก
อย่างน้อยก็ต้องให้เจ้าตัวเล่าล่ะว่าไปชอบคนอย่างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ
แล้วหลังจากนั้น....บางทีเขาอาจจะขอดูว่าคืนนั้นเขาคิดไปเองรึเปล่าสตีเฟ่นจูบเก่งขนาดไหน
โทนี่ประทับจูบเบาๆลงบนกลุ่มผมสีอ่อน
พร้อมกับเสียงระฆังจากโบสถ์ดังมาไกลๆ เสียงที่ทำให้เขานึกถึงคืนที่เริ่มเรื่องทั้งหมดนี้
เอาล่ะเขาอาจจะ...อาจจะนะ...เชื่อขึ้นมานี๊ดนึงว่าน้ำพุอธิฐานนั่นอาจจะศักดิ์สิทธิ์จริงก็ได้
The End
Note: Oh la la จบแล้ว เรื่องนี้วางพลอตไว้นานตั้งแต่ฟังเพลงครั้งแรกก็อยากแต่งอะไรเหนือธรรมชาติแล้ว มันมีประโยคนึงในเพลงที่พูดประมาณว่าโยนเหรียญขอคนรัก เราก็เลยมาใช้เป็นพล็อตหลักซะเลย แล้วก็เป็นเรื่องสลับตัวตามหาคน มีความรอมคอมประมาณ 200% ความมีสาระติดศูนย์ 5555 พยายามเขียนให้ตลกสดใสวัยรุ่นเข้ากับเพลงนะคะ ไม่มีอะไรบีบหัวใจ อ่านได้สบายเรื่อยๆ เราว่าแต่งยากเพราะเราไม่ถนัดแต่ง college non-power au ถือว่าปิดจ๊อบไปอีกเรื่อง ทุบไหดองกันไป กลับไปโผล่หน้า heroweekly ได้แล้ว เราไม่มีชนักติดหลังต่อกันอีกแล้ว
ผลงานอื่นๆ ของ MlleLane ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ MlleLane
ความคิดเห็น